อริยมรรคมีองค์แปด

อริยมรรคมีองค์แปด

(นำ) หันทะ  มะยัง  อะริยัฏฐังคิกะมัคคะปาฐัง  ภะณามะ  เส.

เชิญเถิด  เราทั้งหลาย,  จงสวดบาลีแสดงอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘  เถิด

(รับ) อะยะเมวะ   อะริโย   อัฏฐังคิโก   มัคโค,   

        หนทางนี้แล เป็นหนทางอันประเสริฐ  ซึ่งประกอบด้วยองค์แปด.       

เสยยะถีทัง,     ได้แก่สิ่งเหล่านี้คือ :       

สัมมาทิฏฐิ      ความเห็นชอบ,       

สัมมาสังกัปโป        ความดำริชอบ,

สัมมาวาจา      การพูดจาชอบ,       

สัมมากัมมันโต        การทำงานชอบ, 

สัมมาอาชีโว    การเลี้ยงชีพชอบ,     

สัมมาวายาโม         ความเพียรชอบ,

สัมมาสะติ       ความระลึกชอบ,      

สัมมาสะมาธิ    ความตั้งใจมั่นชอบ. 

(องค์มรรคที่ ๑)

กะตะมา   จะ   ภิกขะเว   สัมมาทิฏฐิ, 

        ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย,  ความเห็นชอบ  เป็นอย่างไรเล่า ?    

ยัง  โข   ภิกขะเว   ทุกเข  ญาณัง,  

        ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  ความรู้อันใด เป็นความรู้ในทุกข์,    

ทุกขะสะมุทะเย   ญาณัง,              เป็นความรู้ในเหตุให้เกิดทุกข์.    

ทุกขะนิโรเธ  ญาณัง,                   เป็นความรู้ในความดับแห่งทุกข์.

ทุกขะนิโรธะคามินิยา   ปะฏิปะทายะ   ญาณัง,     

        เป็นความรู้ในทางดำเนินให้ถึงความดับแห่งทุกข์  

อะยัง  วุจจะติ  ภิกขะเว   สัมมาทิฏฐิ.    

        ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, อันนี้เรากล่าวว่า ความเห็นชอบ.

(องค์มรรคที่ ๒)

กะตะโม   จะ   ภิกขะเว    สัมมาสังกัปโป,    

        ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย,  ความดำริชอบ  เป็นอย่างไรเล่า? 

เนกขัมมะสังกัปโป,         ความดำริในการออกจากกาม,

อัพยาปาทะสังกัปโป,       ความดำริในการไม่มุ่งร้าย,  

อะวิหิงสาสังกัปโป,         ความดำริในการไม่เบียดเบียน, 

อะยัง  วุจจะติ   ภิกขะเว   สัมมาสังกัปโป.   

        ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย,   อันนี้เรากล่าวว่า  ความดำริชอบ.

(องค์มรรคที่ ๓)

กะตะมา  จะ   ภิกขะเว  สัมมาวาจา, 

        ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย,  พูดจาชอบเป็นอย่างไรเล่า 

มุสาวาทา เวระมะณี,                         เจตนาเป็นเครื่องเว้นจากการพูดไม่จริง,

ปิสุณายะ  วาจายะ   เวระมะณี,            เจตนาเป็นเครื่องเว้นจากการพูดส่อเสียด,       

ผะรุสายะ  วาจายะ  เวระมะณี,       เจตนาเป็นเครื่องเว้นจากการพูดหยาบ, 

สัมผัปปะลาปา  เวระมะณี,            เจตนาเป็นเครื่องเว้นจากการเพ้อเจ้อ, 

อะยัง  วุจจะติ   ภิกขะเว   สัมมาวาจา.          

         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, อันนี้เรากล่าว การพูดชอบ. 

(องค์มรรคที่ ๔)

กะตะโม   จะ   ภิกขะเว   สัมมากัมมันโต,    

        ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, การทำการงานชอบเป็นอย่างไรเล่า? 

ปาณาติปาตา  เวระมะณี,             

        เจตนาเป็นเครื่องเว้นจากการฆ่า,   

อะทินนาทานา   เวระมะณี,           

        เจตนาเป็นเครื่องเว้นจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้แล้ว,

กาเมสุ  มิจฉาจารา  เวระมะณี, 

        เจตนาเป็นเครื่องเว้นจากการประพฤติผิดในกามทั้งหลาย,

อะยัง วุจจะติ  ภิกขะเว  สัมมากัมมันโต. 

        ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  อันนี้เรากล่าวว่า  การทำการงานชอบ. 

(องค์มรรคที่ ๕)

กะตะโม  จะ  ภิกขะเว  สัมมาอาชีโว,

        ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย,  การเลี้ยงชีวิตชอบเป็นอย่างไรเล่า ?  

อิธะ   ภิกขะเว  อะริยะสาวะโก,  

        ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, สาวกของพระอริยเจ้าในธรรมวินัยนี้,  

มิจฉาอาชีวัง   ปะหายะ,  

        ละการเลี้ยงชีวิตที่ผิดเสีย, 

อะยัง  วุจจะติ  ภิกขะเว  สัมมาอาชีโว.   

        ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, อันนี้เรากล่าวว่า  การเลี้ยงชีวิตชอบ,

(องค์มรรคที่ ๖)

กะตะโม จะ  ภิกขะว  สัมมาวายาโม, 

         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย,  ความพากเพียรชอบ  เป็นอย่างไรเล่า ?  

อิธะ  ภิกขะเว  ภิกขุ,      

        ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  ภิกษุในธรรมวินัยนี้.      

อะนุปปันนานัง   ปาปะกานัง   อะกุสะลานัง    ธัมมานัง  อะนุปปาทายะ, ฉันทัง 
ชะเนติ, วายะมะติ, วิริยัง  อาระภะติ, จิตตัง ปัคคัณหาติ   ปะทะหะติ
;

         ย่อมทำความพอใจให้เกิดขึ้น, ย่อมพยายาม, ปรารภความเพียร, ประคอง ตั้งจิตไว้, เพื่อจะยังอกุศลธรรม อันเป็นบาปที่ยังไม่เกิด  ไม่ให้เกิดขึ้น;  

อุปปันนานัง    ปาปะกานัง   อะกุสะลานัง   ธัมมานัง   ปะหานายะ,  ฉันทัง   ชะเนติ,  วายะมะติ  วิริยัง   อาระภะติ,   จิตตัง  ปัคคัณหาติ   ปะทะหะติ;

         ย่อมทำความพอใจให้เกิดขึ้น, ย่อมพยายาม, ปรารภความเพียร, ประคองจิตไว้ เพื่อจะละอกุศลธรรม   อันเป็นบาปที่เกิดขึ้นแล้ว; 

อะนุปปันนานัง   กุสะลานัง  ธัมมานัง   อุปปาทายะ;  ฉันทัง   ชะเนติ วายะมะติ,  วิริยัง  อาระภะติ, จิตตัง  ปัคคัณหาติ  ปะทะหะติ;  

        ย่อมทำความพอใจให้เกิดขึ้น, ย่อมพยายาม, ปรารภความเพียร, ประคองตั้งจิตไว้เพื่อจะยังกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น;  

อุปปันนานัง  กุสะลานัง  ธัมมานัง  ฐิติยา,  อะสัมโมสายะ, ภิยโยภาวายะ,  เวปุลลายะ, ภาวะนายะ,  ปาริปูริยา,  ฉันทัง ชะเนติ,  วายะมะติ,  วิริยัง  อาระภะติ,  จิตตัง
ปัคคัณ
หาติ   ปะทะหะติ.  

        ย่อมทำความพอใจให้เกิดขึ้น, ย่อมพยายาม, ปรารภความเพียร, ประคองตั้งจิตไว้เพื่อความตั้งอยู่, เพื่อความไม่เลอะเลือน ความงอกงามยิ่งขึ้น, ความไพบูลย์, ความเจริญความเต็มรอบ แห่งกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว,  

อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมาวายาโม.

        ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, อันนี้เรากล่าวว่า  ความพากเพียรชอบ.

(องค์มรรคที่  ๗)

กะตะมา  จะ   ภิกขะเว   สัมมาสะติ, 

        ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย,  ความระลึกชอบ  เป็นอย่างไรเล่า? 

อิธะ  ภิกขะเว  ภิกขุ,

        ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, ภิกษุในธรรมวินัยนี้,  

กาเย   กายานุปัสสี   วิหะระติ,     

        ย่อมเป็นผู้พิจารณาเห็นกายในกายอยู่เป็นประจำ,   

อาตาปี   สัมปะชาโน   สะติมา,    วิเนยยะ   โลเก   อะภิชฌาโทมะนัสสัง;  

        มีความเพียรเครื่องเผากิเลส, มีสัมปชัญญะ มีสติ, ถอนความพอใจและความไม่พอใจในโลกออกเสียได้;   

เวทะนาสุ  เวทะนานุปัสสี  วิหะระติ, 

        ย่อมเป็นผู้พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู่เป็นประจำ,

อาตาปี  สัมปะชาโน  สะติมา,  วิเนยยะ   โลเก   อะภิชฌาโทมะนัสสัง;

         มีความเพียรเครื่องเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ, ถอนความพอใจและไม่พอใจในโลกออกเสียได้;    

จิตเต จิตตานุปัสสี  วิหะระติ,           

        ย่อมเป็นผู้พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่เป็นประจำ,  

อาตาปี   สัมปะชาโน  สะติมา,   วิเนยยะ    โลเก    อะภิชฌาโทมะนัสสัง;    

        มีความเพียรเครื่องเผากิเลส,  มีสัมปชัญญะ, มีสติ, ถอนความพอใจและความไม่พอใจ ในโลกออกเสียได้,

ธัมเมสุ  ธัมมานุปัสสี วิหะระติ ,

        ย่อมเป็นผู้พิจารณาเห็นชอบในธรรมทั้งหลายอยู่เป็นประจำ,   

อาตาปี สัมปะชาโน สะติมา  วิเนยยะ  โลเก  อะภิชฌาโทมะนัสสัง, 

        มีความเพียรเครื่องเผากิเลส, มีสัมปชัญญะ  มีสติ, ถอนความพอใจและไม่พอใจในโลกออกเสียได้,       

อะยัง    วุจจะติ    ภิกขะเว    สัมมาสะติ.   

        ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย,  อันนี้เรากล่าวว่า  ความระลึกชอบ.

(องค์มรรคที่ ๘)

กะตะโม  จะ  ภิกขะเว  สัมมาสะมาธิ, 

        ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย,  ความตั้งใจมั่นชอบ  เป็นอย่างไรเล่า ?  

อิธะ  ภิกขะเว  ภิกขุ,                    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย,  ภิกษุในธรรมวินัยนี้,  

วิวิจเจวะ   กาเมหิ,                      สงัดแล้วจากกามทั้งหลาย,  

วิวิจจะ  อะกุสะเลหิ  ธัมเมหิ,          สงัดแล้วจากธรรมที่เป็นอกุศลทั้งหลาย,

สะวิตักกัง สะวิจารัง, วิเวกะชัง  ปีติสุขัง ปะฐะมัง ฌานัง อุปะสัมปัชชะ วิหะระติ 

         เข้าถึงปฐมฌาน,  ประกอบด้วยวิตกวิจาร, มีปีติและสุข อันเกิดจากวิเวกแล้วแลอยู่;  

วิตักกะวิจารานัง  วูปะสะมา,               

        เพราะความที่วิตกวิจารทั้งสอง  ระงับลง , 

อัชฌัตตัง  สัมปะสาทะนัง เจตะโส,  เอโกทิภาวัง,  อะวิตักกัง  อะวิจารัง, สะมาธิชัง ปีติสุขัง  ทุติยัง   ฌานัง   อุปะสัมปัชชะ   วิหะระติ;  

        เข้าถึงทุติยฌาน, เป็นเครื่องผ่องใส  แห่งใจในภายใน, ให้สมาธิเป็นธรรมอันเอกผุดมีขึ้น, ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร, มีแต่ปีติและสุข อันเกิดจากสมาธิแล้วแล อยู่;   

ปีติยา  จะ  วิราคา,        

        อนึ่งเพราะความจางคลายไปแห่งปีติ,  

อุเปกขะโก  จะ  วิหะระติ, สะโต  จะ  สัมปะชาโน,   

        ย่อมเป็นผู้อยู่อุเบกขา, มีสติและสัมปชัญญะ,  

สุขัญจะ   กาเยนะ   ปะฏิสังเวเทติ,          

        และย่อมเสวยความสุขด้วยนามกาย,  

ยันตัง    อะริยา    อาจิกขันติ,    อุเปกขะโก   สะติมา    สุขะวิหารีติ,   

        ชนิดที่พระอริยเจ้าทั้งหลายย่อมกล่าวสรรเสริญผู้นั้นว่า,  “เป็นผู้อยู่อุเบกขามีสติอยู่เป็นปรกติสุข”  ดังนี้   

ตะติยัง  ฌานัง  อุปะสัมปัชชะ  วิหะระติ          เข้าถึงตติยฌานแล้วแลอยู่;

สุขัสสะ  จะ  ปะหานา,                             เพราะละสุขเสียได้,  

ทุกขัสสะ  จะ  ปะหานา,                            และเพราะละทุกข์เสียได้,  

ปุพเพวะ  โสมะนัสสะโทมะนัสสานัง  อัตถังคะมา, 

        เพราะความดับไปแห่งโสมนัสและโทมนัสทั้งสอง ในกาลก่อน,

อะทุกขะมะสุขัง  อุเปกขา  สะติปาริสุทธิง,  จะตุตถัง ฌานัง  อุปะสัมปัชชะ วิหะระติ,

        เข้าถึงจตุตถฌาน,  ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข,  มีแต่ความที่สติเป็นธรรมชาติบริสุทธิ์ เพราะอุเบกขาแล้วแล อยู่,

อะยัง วุจจะติ  ภิกขะเว  สัมมาสะมาธิ,  

        ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย,   อันนี้เรากล่าวว่า  ความตั้งใจมั่นชอบ.

———————–