อัตชีวประวัติ พระราชปริยัตยากร

อัตชีวประวัติ

พระราชปริยัตยากร (บุญเรือง สารโท)

——————–

          วิถีชีวิตของข้าพเจ้า นับตั้งแต่เป็นเด็กมา จนถึงปัจจุบัน

          เริ่มแต่เป็นเด็กรู้เดียงสามา ข้าพเจ้าไม่เคยสร้างศัตรูให้แก่ตัวเอง ถ้าหากว่าเพื่อนๆ ไม่พอใจในเรื่องอะไร ข้าพเจ้าจะรีบขอโทษทันที ข้าพเจ้าเคารพเพื่อน รักเพื่อนทั้งชายและหญิง เวลาเล่น ส่วนมากก็ชอบเล่นกับผู้หญิง จนเพื่อนๆ ล้อเลียนข้าพเจ้าว่าเป็นคนแม่ (นิสัยเหมือนผู้หญิง)

          ระหว่างข้าพเจ้ากับเพื่อน จะเป็นชายหรือหญิงก็ตาม พวกเขาจะรักข้าพเจ้ามาก มีอะไรก็แบ่งสันปันส่วน เฉลี่ยเจือจานกัน ส่วนมากข้าพเจ้าจะทำงานผู้หญิง เช่น ตำข้าว เก็บฟืน หาอาหาร ปั่นฝ้าย ทอไหม เป็นต้น ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะแม่ไม่ค่อยแข็งแรง ประกอบกับข้าพเจ้าเป็นบุตรคนโต จึงได้ทำงานช่วยแม่

          นอกจากนี้ สำหรับผู้เฒ่าผู้แก่ก็จะรักข้าพเจ้ามาก มีอะไรก็อยากจะให้ อยากจะสอน มีวิชาอาคมขลัง ก็อยากจะสอนให้ บางท่านก็สอนให้ และก็นำมาใช้ได้ตามที่ท่านสอน

          ข้าพเจ้าแม้จะตัวเล็ก แต่ก็มีความคิดคล้ายผู้ใหญ่ มีงานอะไรๆ เกิดขึ้น เพื่อนๆ ก็เลือกให้เป็นหัวหน้า ด้วยเหตุนี้ ชีวิตของข้าพเจ้าจึงไม่ว้าเหว่ ไม่มีปมด้อย ได้รับความอบอุ่นจากเพื่อนๆ ตลอดถึงผู้เฒ่าผู้แก่เป็นอย่างดีเสมอมา

          เมื่ออายุครบเกณฑ์เข้าโรงเรียน ข้าพเจ้าก็ได้เข้าเรียนเหมือนเด็กชาวบ้านทั่วไป เมื่อเข้าโรงเรียน จะด้วยบารมีหรือเหตุปัจจัยอะไรก็แล้วแต่จะเดา นับแต่ชั้นมูลขึ้นไป คณะครูอาจารย์ภายในโรงเรียน ตลอดนักเรียน ทั้งรุ่นน้องรุ่นพี่และรุ่นเดียวกัน ส่วนมากจะรักข้าพเจ้ามาก เมื่อเรียนจบชั้นมูลแล้ว ก็ได้เลื่อนชั้นขึ้น ป.๑ และเลื่อนชั้นขึ้น ป.๒

          ขณะเรียนอยู่ในชั้น ป.๒ คณะครูอาจารย์และนักเรียนได้ประชุมกันคัดเลือกนักเรียนผู้สมควรเป็นหัวหน้าในโรงเรียน ข้าพเจ้าได้ถูกคัดเลือกให้เป็นหัวหน้าโรงเรียน โดยไม่มีใครคัดค้านแม้แต่คนเดียว ข้าพเจ้าได้ทำหน้าที่หัวหน้าโรงเรียนตั้งแต่วันนั้นมาจนเรียนจบและออกจากโรงเรียน

          บัดนี้ ขอวกมาอีกฉากหนึ่ง ซึ่งเห็นว่าสมควรเขียนลงในประวัติ ถึงแม้ว่าไม่มีสาระน่ารู้ ก็จะทำให้ผู้อ่านแก้เซ็งและหมั่นไส้ เพราะเรื่องที่จะเขียนต่อไปนี้ ไม่ใช่วิสัยของข้าพเจ้า และไม่น่าจะเกิดขึ้นกับข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็ไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น แต่ถึงอย่างไร ก็ขอร้องท่านผู้อ่านให้ทำใจเป็นกลางๆ อย่าเชื่อและอย่าเพิ่งปฏิเสธ ขอให้อุเบกขาอย่าให้อกุศลจิตหรือกุศลจิตเกิดขึ้น ขอได้กรุณาใช้วิจารณญาณตัดสินเอาเอง

          เพราะเรื่องที่จะเขียนต่อไปนี้ เขียนตามคำขอร้องของศิษยานุศิษย์ ที่ตกลงกันในที่ประชุมในต้นเดือนธันวาคม พ.ศ.๒๕๓๙ ซึ่งขณะนั้น ข้าพเจ้าไม่ได้อยู่ในที่ประชุม เพราะพร้อมด้วยคณะไปเยี่ยมศิษยานุศิษย์และญาติโยมทางปักษ์ใต้ เป็นเวลา ๑๓ วัน

          เมื่อกลับมาได้อ่านดูมติที่ประชุม เกิดอึดอัดใจมาก เพราะเป็นเรื่องที่ไม่อยากเขียน ด้วยเหตุว่ามันเป็นดาบสองคม เป็นทั้งบุญและบาป (แก่ผู้ได้อ่าน) เป็นเรื่องน่าหมั่นไส้ บางท่านก็จะตัดสินเอาว่า ข้าพเจ้าอวดอุตตริมนุสสธรรม

          แต่ข้าพเจ้าจะทำอย่างไรได้ ในเมื่อเรื่องดำเนินมาถึงนี้แล้ว จะกลืนก็ไม่เข้า จะคายก็ไม่ออก จำต้องทำตามมติที่ประชุมที่ตกลงกันไว้แล้ว หากอกุศลจิตหรือบาปกรรมอันจะพึงเกิดแก่ท่านผู้อ่าน ด้วยประการใดประการหนึ่งก็ตาม ข้าพเจ้าขอน้อมรับเอาด้วยตนเองทั้งหมด

          ก่อนอื่น ก็ขอทำความเข้าใจว่า ชีวประวัตินี้ ไม่ได้มีเจตนาเขียนเพื่อที่จะอวด แต่เขียนไว้เพื่อท่านผู้อ่านทั้งหลายจะได้ศึกษา และจะเขียนตามความเป็นจริงที่สุด จำเป็นที่สุด สั้นที่สุดเท่าที่จะทำได้

          เพื่อให้ประวัติสมบูรณ์ ข้าพเจ้าขอย้อนกลับไปเมื่อสมัยเด็ก ข้าพเจ้าเกิดในตระกูลสัมมาทิฏฐิ (มารู้เอาเมื่อตอนบวชแล้ว) พ่อแม่และญาติ ต่างพอใจในการทำบุญทำทาน โยมพ่อโยมลุงได้แนะนำให้ข้าพเจ้ายินดีในการให้ทาน เจริญเมตตาและสงสารผู้อื่น ช่วยเหลือผู้อื่น อย่าไปทะเลาะกับผู้อื่น

          ที่สอนนักสอนหนาก็คือไม่ให้กินเนื้อดิบ ไม่ให้กินปลาดิบ สอนไม่ให้ฆ่าสัตว์ ไม่ให้ลักขโมย สอนไม่ให้ล่วงเกินลูกสาวเขา สอนไม่ให้ตั๋ว (พูดเท็จ) สอนไม่ให้กินเหล้า สอนให้เคารพอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่ สอนให้ไหว้พระก่อนนอน สอนให้ขยันทำงาน คำสอนเหล่านี้ ข้าพเจ้าได้ถือปฏิบัติมาโดยตลอด เพราะถ้าโยมพ่อโยมลุงรู้ว่าข้าพเจ้าไม่ปฏิบัติตาม ก็จะถูกเอ็ดเอาทันที

          ข้าพเจ้าจะเคารพและรักพระรักเณร มีใจผูกพันอยู่กับเณรมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เพราะกระท่อมนาเป็นทางผ่านของพระของสามเณร รูปนั้นผ่านไป รูปนี้ผ่านมา บ้างก็ให้ขนม บ้างก็ให้ของกิน บ้างก็ลูบหัว เป็นต้น เพราะความเคารพ ความรัก ความคุ้นเคย และความผูกพัน จึงเป็นเหตุให้ข้าพเจ้าอยากบวชตลอดเวลา

          อนึ่ง โรงเรียนที่เรียนอยู่ในวัด เวลาหยุดพักก็ต้องกินข้าววัด ด้วยเหตุปัจจัยดังกล่าวมา จึงทำให้ข้าพเจ้าอยากบวช พอออกโรงเรียนแล้วก็ขอพ่อแม่บวช ท่านไม่อนุญาต เพราะเห็นว่ายังเด็กอยู่ เอาไว้โตกว่านี้ค่อยบวช

          ประกอบกับโชคไม่เข้าข้าง ช่วงนี้พ่อพร้อมกับลุงอีก ๒ คน รวมเป็น ๓ พากันออกบวช แล้วจำวัดอยู่ถ้ำพวงปฏิบัติธรรมกับท่านพระอาจารย์วิเชียร

          เพราะสมัยนั้น พระอาจารย์วิเชียร (อาจารย์หลง) ท่านมีชื่อเสียงมาก แสดงธรรมเก่ง คนเล่าลือกันว่าท่านเป็นพระอรหันต์ หลังจากคณะของพ่อบวชได้ ๓ เดือน อาจารย์เกิดวิปลาส ใช้มีดโกนเชือดคอตัวเอง แล้วเอาประคตเอวรัดคอตัวเองตายในท่านั่งกระโหย่งประนมมือ (ทำอัตตวินิบาต) ถูกทางตำรวจสอบสวน พ้นคดี พ่อและลุงทั้งสองก็ลาสิกขา เพราะหมดที่พึ่ง

          เมื่อพ่อลาสิกขาออกมาประมาณ ๑ เดือน ท่านบอกและถามว่า จะให้บวชแล้วนะ จะบวชไหม ตอนนี้กลับไม่อยากบวชเสียแล้ว เพราะเกิดชอบผู้หญิงเสียแล้ว เหตุว่าวันๆ อยู่กับแต่ผู้หญิง ต้องเลี้ยงโคกระบือ เก็บฟืน ตักน้ำ ตำข้าว หากิน เป็นต้น ตกกลางคืนก็ต้องตำข้าวกับเพื่อนผู้หญิง ๒ คนบ้าง ๓ คนบ้าง ๔ คนบ้าง กว่าจะแล้วเสร็จก็กินเวลา ๓ ทุ่ม ๔ ทุ่ม ๕ ทุ่ม จึงแล้วเสร็จ ค่อยกลับไปนอนกัน วันใหม่ก็ตำข้าวอีก เพราะเป็นฤดูจะลงนา โรงสี
ก็ไม่มี ต้องตำข้าวตุนเอาไว้อย่างน้อยคนละ ๑๐ กระสอบป่าน

          ด้วยเหตุปัจจัยดังกล่าวแล้วนี้ จึงไม่อยากบวช แต่จะทำอย่างไรได้ กลัวพ่อก็กลัว เคารพก็เคารพ เลยไม่กล้าขัดใจท่าน แต่ก็ขัดใจเรา แต่จะทำอย่างไร เพราะเรื่องดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว จำเป็นต้องตัดสินใจบอกพ่อว่า บวช

          ตื่นเช้าวันที่ ๒๓ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๙๑ พ่อพาไปบวชเป็นสามเณรที่วัดโพธิ์ศรีสว่าง บ้านตาแหลว ตำบลเจียด อำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็นบ้านเกิด โดยมีพระครูภัทรกิจโกศล เป็นพระอุปัชฌาย์

          บวชแล้ว ได้กลับมาสังกัดอยู่วัดโคกสว่าง บ้านอีเติ่ง ตำบลเจียด อำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี เป็นเวลา ๑ เดือนเศษ บวชแล้วได้รับการอบรมพระธรรมวินัย ใจยิ่งเกิดศรัทธาเลื่อมใสในพระธรรมยิ่งขึ้น

          ใกล้จะเข้าพรรษา ได้ย้ายสังกัดไปอยู่วัดโพธิ์ศรีสว่าง บ้านตาแหลว เพื่อศึกษาปริยัติธรรม เพราะในสมัยนั้น สำนักเรียนนักธรรมหายากมาก ตำบลหนึ่งก็จะมีเพียง ๑ สำนักเป็นอย่างมาก

          ผลของการศึกษาปริยัติธรรมในพรรษานั้น ไม่ค่อยก้าวหน้า คือไม่เข้าใจเท่าที่ควร ผลการสอบสนามหลวงออกมาปรากฏว่า ไม่ผ่าน

          ปี พ.ศ.๒๔๙๒ จึงได้ย้ายสังกัดไปอยู่วัดยางกระเดา ตำบลท่าเมือง อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี การอยู่อาศัยศึกษาในวัดนี้ ได้รับการศึกษาดีพอสมควร และสอบนักธรรมชั้นตรีได้ในปีนั้นเอง

          ปี พ.ศ.๒๔๙๓ เช้าวันหนึ่ง ข้าพเจ้าได้เข้าไปนั่งสมาธิอยู่ในอุโบสถวัดยางกระเดานั่นเอง ได้เกิดปัญญาญาณขึ้นในดวงใจของข้าพเจ้าว่า การท่องเที่ยวอยู่ในวัฏฏสงสารของข้าพเจ้า ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย การเกิดครั้งนี้เป็นการเกิดครั้งสุดท้ายของข้าพเจ้า การบวชครั้งนี้ เป็นการบวชครั้งสุดท้าย ข้าพเจ้าจะไม่ลาสิกขาเลย

          นับตั้งแต่วันนั้นมา ข้าพเจ้าได้พยายามปฏิบัติพระกัมมัฏฐาน ตามโอกาสและเวลาที่เอื้ออำนวย ในส่วนที่เป็นกายคตาสติ จากตำรับตำราที่ได้เล่าเรียนมา โดยเฉพาะ ได้พิจารณาร่างกายอันเป็นอสุภะโสโครก เต็มไปด้วยของไม่สะอาด ปฏิกูล น่าเกลียด ทั้งร่างของตนเองและผู้อื่น จนมีความสามารถแยกร่างกายออกเป็นกองๆ เป็นส่วนๆ ในอาการ ๓๒ จนบางครั้งคิดว่าตัวเองไม่มีอะไรเลย ข้าพเจ้าชำนาญในกัมมัฏฐานบทนี้เป็นพิเศษ จึงเอาชนะรูปนามของเพศตรงข้ามได้

          พ.ศ.๒๔๙๓ ได้เข้าศึกษาเล่าเรียนในหลักสูตรนักธรรมชั้นโท ได้อ่านประวัติของพระพุทธเจ้า และประวัติของพระสาวกบ้าง ยิ่งทำให้เกิดปีติ เกิดปสาทะศรัทธาเพิ่มขึ้น เมื่อถึงคราวสอบ ข้าพเจ้าสามารถสอบผ่านได้นักธรรมชั้นโทในปีนั้น

          พ.ศ.๒๔๙๓ ข้าพเจ้าได้สมาทานเอกาสนิกังคธุดงค์คือฉันหนเดียว ตลอดไตรมาสพรรษา ๓ เดือน

           พ.ศ.๒๔๙๔ หลวงพ่อพระครูวัตตกิจอาทรเจ้าอาวาสวัดยางกระเดา และเจ้าคณะตำบลท่าเมือง ได้ถึงแก่มรณภาพ

          ก่อนที่ท่านจะมรณภาพประมาณ ๑ เดือน ทางวัดและชาวบ้านยางกระเดา ได้จัดงานประเพณีบุญเดือน ๖ หลวงพ่อท่านได้ทำบั้งไฟไว้หลายบั้ง แต่บั้งที่ใหญ่หน่อย มีอยู่ ๒ บั้ง บั้งที่ ๑ หมดดินประสิว ๖ หมื่น บั้งที่ ๒ หมดดินประสิว ๑๐ กิโลกรัม แต่ไม่มีช่าง ข้าพเจ้าเลยรับเป็นช่าง

          ตอนเช้า ถึงเวลาจุดบูชา ประชาชนมาพร้อมกัน ข้าพเจ้าเอาบั้ง ๖ หมื่นขึ้นจุดบูชา ไม่มีปัญหา เพราะบั้งไฟขึ้นสมใจที่ตั้งไว้ แต่มีปัญหาบั้งสุดท้าย น้ำหนัก ๑๐ กิโลกรัม ไม่มีใครกล้าจุดแม้แต่คนเดียว ตกลงข้าพเจ้าขึ้นจุดเอง

          สมัยนั้น บั้งไฟจุดหม่อม คือชนวนจะอยู่ข้างบนตัวบั้งไฟ ข้าพเจ้าใช้กระไต้ (กระบอง) จุดที่ชนวนแล้ว ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ออกห่างไปจากบั้งไฟ บั้งไฟกับตัวข้าพเจ้าห่างกันเพียงช่วงแขนเดียว

          บั้งไฟระเบิดกับที่ ควันไฟคลุ้งเต็มไปหมด ข้าพเจ้ามองลงมาข้างล่างก็ไม่เห็นคน คนที่อยู่ข้างล่างก็มองขึ้นไปไม่เห็นข้าพเจ้า ได้ยินเสียงคนร้องระงมไปหมดว่า เณรเฮืองตายแล้ว เณรเฮืองตายแล้ว

          ในขณะจุดบั้งไฟ ข้าพเจ้าก็ไม่ตกใจ ในขณะบั้งไฟระเบิด ข้าพเจ้าก็ไม่ตกใจ และในขณะบั้งไฟระเบิดเป็นประกายไฟลุกท่วมตัวข้าพเจ้า แทนที่จะร้อน กลับรู้สึกเย็นเหมือนถูกพัดลมเป่า เมื่อสร่างควัน มองเห็นคนและเห็นบันได ข้าพเจ้าก็ลงบันได ขณะนั้น คนทั้งหลายก็กรูเข้ามาถามว่า เป็นอย่างไรๆ

          ข้าพเจ้าตอบเพียงคำเดียวว่า เย็น เล่นเอาคนทั้งหลายตกตะลึง พอหายตะลึง ต่างก็หลีกไปเล่นงานบุญตามปกติ

          แต่สำหรับตัวของข้าพเจ้า ดำปานตอตะโก ผ้าสบง ผ้าอังสะ ดำหมด ใช้ไม่ได้ ต้องเปลี่ยนใหม่ แต่แปลกอยู่อย่างหนึ่ง ตลอดทั้งวัน ข้าพเจ้ารู้สึกเย็นทั้งใจทั้งกาย ตามร่างกายแต่ละจุด หาที่พุพองเท่าเมล็ดงาก็ไม่มี เส้นผม ขนคิ้ว ขนตา และขนตามร่างกาย แม้แต่ขนเส้นเดียว ก็ไม่ไหม้

          อันนี้ก็เป็นเรื่องแปลกอีกอย่าง ซึ่งเกิดแก่ข้าพเจ้าสมัยนั้น แต่ข้าพเจ้าก็ไม่คิดอะไรมาก คิดแต่เพียงว่า เออ อันนี้เป็นอำนาจของเมตตาธรรมอย่างหนึ่ง ที่ข้าพเจ้าบำเพ็ญมา

          พ.ศ.๒๔๙๔ หลังจากเสร็จงานฌาปนกิจศพของหลวงพ่อเจ้าอาวาส (วัดยางกระเดา) แล้ว ข้าพเจ้าได้ย้ายสังกัดไปอยู่วัดท่าบ่อแบง ตำบลขามเปี้ย อำเภอตระการพืชผล จังหวัดอุบลราชธานี เพื่อเรียนบาลี โดยมีท่านพระอาจารย์ไพ จนฺทสาโร เป็นเจ้าอาวาส ท่านได้มอบหมายให้ข้าพเจ้าเป็นครูสอนปริยัติธรรม ตลอดถึงงานก่อสร้างถาวรวัตถุภายในวัด

          พ.ศ.๒๔๙๖ ข้าพเจ้ามีอายุครบบวชพระ โยมพ่อโยมแม่และญาติได้นำมาบวชพระที่บ้านเดิม และได้อุปสมบทเมื่อวันที่ ๑๕ เมษายน พ.ศ.๒๔๙๖ ณ อุโบสถวัดโพธิ์ศรี ตำบลขามป้อม อำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี โดยมีท่านพระครูภัทรกิจโกศล เจ้าคณะอำเภอเขมราฐ เป็นพระอุปัชฌาย์ เจ้าอธิการชา โชตโก เป็นกรรมวาจาจารย์ พระอธิการประดิษฐ์ เขมวีโร เป็นอนุสาวนาจารย์ ได้ฉายาว่า สารโท เมื่ออุปสมบทแล้ว ก็ได้กลับไปอยู่วัดท่าบ่อแบงอีก

           พ.ศ.๒๔๙๖ หลังจากบวชพระแล้ว ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญพรตอีก คือฉันวันละครั้งบ้าง ฉันครั้งละ ๗ คำบ้าง บำเพ็ญอยู่ ๕ เดือน จนร่างกายผ่ายผอม ความจำเสื่อม หมอได้ขอร้องให้เลิก ถ้าไม่เลิก จะเป็นอันตรายต่อชีวิต ข้าพเจ้าฝ่าฝืนคำหมอสั่งอยู่พักหนึ่ง อาการยิ่งทรุดลง จึงเลิกแล้วกลับมาฉันตามปกติ

          และในช่วง พ.ศ.๒๔๙๖ นี้เอง จิตใจของข้าพเจ้าเริ่มหันเหหนักไปทางปฏิบัติ โดยมาคิดย้อนหลังวันที่ไปทำสมาธิอยู่ที่อุโบสถวัดยางกระเดาว่า ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของข้าพเจ้า การบวชครั้งนี้ ถือว่าเป็นการบวชครั้งสุดท้าย การเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏสงสารของข้าพเจ้า จะจบลงในชาตินี้

          แต่มาคิดอีกแง่หนึ่งว่า ข้าพเจ้ามีราคะกล้ามาก จะทำอย่างไรจึงจะเอาชนะมันได้ ถ้าเอาชนะมันไม่ได้ เราก็บวชอยู่ต่อไปไม่ได้ ตกลงตัดสินใจปฏิบัติกัมมัฏฐาน แต่เกิดความลังเลใจว่า เราจะปฏิบัติกัมมัฏฐานได้อย่างไร เพราะถ้าอยู่กับเพื่อนก็ไม่สะดวก จะอยู่ป่าก็กลัวผี ตกลงตัดสินใจเข้าป่าช้าฝึกตัวเอง เพื่อว่าความกลัวผีจะได้หมดไป โชคดี ในวัดมีป่าช้าและเป็นป่าที่รกด้วย สะดวกต่อการฝึก

          วิธีฝึก วันแรก ๑๗.๐๐ น. เศษ ครองจีวรเสร็จแล้วเดินเข้าป่าช้า เดินจงกรม นั่งภาวนา จนดึกสงัด เห็นว่าความกลัวมันลดลงไปบ้าง แผ่เมตตา อุทิศส่วนกุศล อธิษฐานจิต แล้วออกจากป่าช้า

          เมื่อฝึกอยู่หลายวันเป็นที่พอใจแล้ว วันต่อไปก็เป็น ๑๘.๐๐ น., ๑๙.๐๐ น., ๒๐.๐๐ น., ๒๑.๐๐ น. แต่ละครั้งทำอยู่หลายวัน จนเป็นที่พอใจ

          วันสุดท้าย เวลา ๒๒.๐๐ น. ตีระฆังสัญญาณ พระภิกษุสามเณรจำวัดแล้ว เตรียมตัวครองผ้า เข้าป่าช้า พอเข้าไปถึงริมป่าช้า ได้ยินเสียงควายวิ่งฝ่าป่าทึบออกมาเสียงดังมาก เลยหยุด ยืนฟังเสียง พร้อมกับพิจารณาในใจว่า เอ ควายทำไมมันวิ่งเสียงดังมาก หน้านาแท้ๆ ทำไมเจ้าของไม่ผูก ปล่อยปละละเลย มันจะไม่ไปกินข้าวในนาเขาหรือ พอมันวิ่งพ้นป่าออกมา เห็นตัวเท่าสุนัขตัวโตๆ พร้อมกับคิดว่า เอ ทำไมสุนัขตัวเล็กๆ มันวิ่งเสียงดังเกินตัว

          ขณะยืนคิดอยู่ ขาไม่ชิดกัน มันวิ่งผ่านช่องขาทั้งสองเข้าไปในหมู่บ้าน เสียงดังเหมือนม้าวิ่งแข่งกัน และฉุกคิดขึ้นมาอีกว่า เอ สุนัขตัวเล็กๆ ทำไมมันวิ่งเสียงดังเหมือนม้าวิ่ง ยืนฟังอยู่จนเงียบเสียง จึงคิดว่า เออ มันไปแล้วก็ดี เราเข้าป่าช้าดีกว่า กำลังจะเดินเข้าป่าช้า ได้ยินเสียงมันวิ่งกลับมาอีก ตอนนี้ยืนเอาขาชิดกันไว้ เผื่อว่าจะไม่ให้มันวิ่งลอดขาอีก พอวิ่งมาถึง มันวิ่งเฉียดขาข้างขวาเข้าป่าช้า เสียงก็เงียบไป เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เลยคิดว่า เออ มันไปก็ดีละมันก็ไปทางของมัน เราก็ไปทางของเรา จึงเข้าไปถึงกลางป่าช้า เดินจงกรมแล้วก็นั่งภาวนา ตั้งแต่วันนั้นมา ก็ไม่มีอะไรมารบกวนเลย

          นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา ก็เริ่มเจริญพระกัมมัฏฐานในส่วนที่เป็นกายคตาสติกัมมัฏฐาน จนเกิดสติ สมาธิ ปัญญา จนสามารถมองเห็นความเป็นจริงของร่างกายและจิตใจ

          ทำความเพียรอยู่ประมาณ ๑ เดือน ก็เกิดอุปกิเลสจิตอย่างแรงกล้า สามารถอธิบายธรรมะได้พิสดารกว้างขวาง โดยเฉพาะเรื่องโมหะ นึกอธิบายอยู่ถึง ๑๐ วันก็ยังไม่รู้จบ ชวนะมันเกิดขึ้นตลอดเวลา คล้ายแตกฉานในอรรถ ในธรรม ในปฏิภาณ จนคิดว่าทำไมหนอจึงเป็นเช่นนี้ เราจะไม่เป็นบ้าไปหรือนี่ ถ้าจะไปหาอาจารย์กัมมัฏฐานแก้อารมณ์ ก็ไม่มีอาจารย์อยู่แถวนั้น ตกลงกัดฟันอดทนต่อสู้กับสภาวะ จนสามารถเอาชนะได้

          หลังจากอุปกิเลสสงบลง จิตเกิดพลัง หากว่ามีคนที่มีทิฏฐิมานะกล้าๆ มาสนทนา หรือมาถามปัญหา เราอธิบายธรรมะให้ฟังไม่ถึง ๕ นาที น้ำตาจะคลอเบ้าหรือร้องไห้พร้อมกับพูดว่า เมื่อก่อนทำไมอาจารย์จึงไม่พูดให้ฟัง ผมหลงผิดไปมากแล้ว ต่อไปผมจะตั้งใจทำความดี

          สมัยนั้น คล้ายกับว่าได้บรรลุธรรมแล้ว จนนึกว่าหลังจากสอบธรรมสนามหลวงแล้ว เราจะกลับไปบ้านโปรดโยมพ่อโยมแม่ จะใช้เวลาเทศน์สัก ๑๕ นาที ท่านจะได้รู้แจ้งธรรมะ แต่โชคไม่เข้าข้าง พระอาจารย์บังคับพระภิกษุสามเณรให้ดูหนังสือ เพราะใกล้จะถึงวันสอบธรรมสนามหลวงแล้ว เลยเพลาๆ จากการปฏิบัติ สภาวะที่เกิดขึ้นก็ลดลงไป สมาธิก็เริ่มอ่อนกำลังลงตามลำดับ

          พ.ศ.๒๔๙๖ นั่นเอง ท่านพระอาจารย์ไพ จนฺทสาโร เจ้าอาวาส ได้พร้อมด้วยพระภิกษุสามเณรและญาติโยมชาวบ้าน สร้างสิมน้ำ (อุทกุกเขปสีมาหรือโบสถ์น้ำ) ขนาดกว้าง ๔ เมตร ยาว ๖ เมตร สูง ๑๒ เมตร สร้างด้วยไม้ โดยเอาเสาต่อกันขึ้นไป

          วันหนึ่ง ขณะที่ข้าพเจ้าตอกไม้คอสองด้านกว้างอยู่ บังเอิญไม้ที่พาดอยู่ตกลง ข้าพเจ้าพลอยตกลงไปด้วยกันโดยเอาศีรษะลงก่อน มือขวาถือเหล็กชะแลง มือซ้ายถือขวาน ขณะตก ได้ยินเสียงครูอาจารย์พระสงฆ์สามเณรและญาติโยมที่อยู่ข้างล่าง ได้อุทานออกมาพร้อมกันว่า ฮึ แล้วก็เงียบเสียงทั้งหมด เหมือนถูกมนต์สะกด

          แต่ในเสี้ยววินาทีแห่งความตายนั้น ข้าพเจ้ามีใจปกติธรรมดา ไม่สะทกสะท้าน ไม่หวั่นใจ ไม่ตกใจ พร้อมกันนั้น

           ประโยคแรก จิตคิดได้ว่า เราตกลงไปนี้ ศีรษะจะไปถูกกับตอไม้ตะเคียนไฟไหม้ ไม้ที่นั่งอยู่ตกตามลงไปกระทุ้ง

          ประโยคที่สอง คิดว่า โอ้ เราเกิดมาชาตินี้ ตายไม่ได้สั่งพ่อสั่งแม่หนอ

          ประโยคที่สาม คิดถึงภาพยนตร์ ท่ากระโดดน้ำ ซึ่งหน่วยสอบธรรมสนามหลวง วัดมงคลใน บ้านเหล่าเสือโก้ก ฉายให้ชมวันสุดท้ายของการสอบ พอนึกได้ ข้าพเจ้าเอาแขนทั้งสองกวักอย่างแรง ทำให้ศีรษะหมุนกลับขึ้นข้างบน เท้าทั้งสองหมุนกลับลงข้างล่าง ตอนนี้รู้สึกตัวเบา ทำให้เพลินเหมือนลอยอยู่กลางอากาศ พอตัวหมุนตรงได้ที่ เท้าทั้งสองก็ถึงพื้นพอดี พร้อมกับวิ่งออกจากที่ เพราะนึกได้ว่าไม้ตัวที่พาดอยู่ข้างบนจะตกลงมากระทุ้ง

          เป็นเหมือนอย่างที่คิด พอข้าพเจ้าวิ่งออกจากที่ ไม้ที่ตกจากข้างบนก็ตกลงมาแทนที่พอดี แต่โชคดีที่ร่างกายไม่เคล็ด ไม่ช้ำ ไม่บวม เพราะขณะถึงพื้นนั้น มันรู้สึกนุ่มเหมือนสำลีตกลงมาจากอากาศ

          คณะครูอาจารย์ พระสงฆ์ สามเณร และญาติโยมที่อยู่ข้างล่าง คงเห็นภาพประทับใจจนบอกไม่ถูก เห็นข้าพเจ้าไม่เป็นไร ต่างคนต่างได้เครื่องไม้เครื่องมือกลับวัด ส่วนพระอาจารย์เจ้าอาวาส เอาผ้าอาบคลุมศีรษะกลับวัดตามศิษย์และญาติโยมไป

          แต่แปลก คนทั้งหมดไม่มีใครพูดกัน แม้แต่ข้าพเจ้าซึ่งตกลงจากที่สูงก็ไม่มีใครวิ่งมาหา และก็ไม่มีใครถาม คงคิดว่าข้าพเจ้าเป็นตัวกาลีที่ทำให้คนในงานนี้ต้องเสียขวัญ นับตั้งแต่วันนั้นจนถึงบัดนี้ ไม่มีใครพูด ไม่มีใครถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้นนี้เลย (งานหยุดชะงักไปอาทิตย์เศษ จึงได้มาทำต่อ)

          หลังจากสร้างสิมน้ำ (โบสถ์กลางน้ำ) เสร็จแล้ว พระที่อยู่ด้วยกันชื่อบุญชู มาชักชวนลาสิกขาไปทำงานเหมืองแร่ที่ปักษ์ใต้ เพื่อนมาบอกว่า ขายได้กิโลฯละ ๖๐ บาท วันหนึ่งได้ตั้งหลายกิโลฯ ข้าพเจ้ามีใจคล้อยตามเพื่อน จะลาสิกขาไปด้วยกัน ตัดชุดเตรียมเครื่องนุ่งห่มพร้อม คิดว่าการลาสิกขาครั้งนี้ จะไม่บอกให้โยมพ่อโยมแม่รู้ กลัวท่านจะไม่ให้ลาสิกขาและไม่ให้ไป

          พอใกล้ถึงวันจะไปจริงๆ ดูท่าทีของเพื่อนไม่อยากให้ไปด้วย เพราะมีโยมพี่ชายของท่านมาบอกว่าไม่อยากให้ไปหลายคน ข้าพเจ้าฉุกคิดขึ้นมาในใจว่า ทำไมหนอ เพื่อนถึงเป็นอย่างนี้ ไม่ทันไรจะทิ้งกันแล้ว หากว่าไปด้วยกันจริงๆ จะเป็นอย่างไร เขาจะไม่ทิ้งเราหรือ

เกิดบุรพนิมิต

          กลางคืนของคืนนั้นเอง เวลาดึกสงัด ข้าพเจ้าปฏิบัตินั่งสมาธิอยู่ เกิดนิมิตขึ้น เห็นท่านจอมพล . พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น ท่านถือบัญชีเดินเข้ามาทางประตูทิศใต้ของวัด เพื่อสำรวจหาผู้มีบุญวาสนาบารมีที่จะได้บวชอยู่ในพระพุทธศาสนาตลอดไป

          พอมาถึงกลางวัด ท่านนั่งลงบนเก้าอี้ วางบัญชีไว้บนโต๊ะ ข้าพเจ้าเดินจากทิศตะวันออก เข้าไปหาท่านนายก แล้วถามว่า ฯพณฯ ท่านนายก มาที่นี่ด้วยมีธุระอะไร

          ท่านตอบว่า มาสำรวจหาผู้ที่มีบุญวาสนาบารมี ที่จะได้บวชอยู่ในพระพุทธศาสนาได้นานๆ น่ะ

          ข้าพเจ้าเลยขอร้องท่านว่า ถ้าอย่างนั้น ขอท่านได้เมตตากรุณา ตรวจดูชื่อของอาตมาหน่อยซิ มีชื่ออยู่ในบัญชีกับเขาบ้างหรือไม่

          เมื่อท่านเปิดดู ปรากฏว่าชื่อของข้าพเจ้ามีอยู่ในบัญชีนั้นด้วย แล้ว ฯพณฯ ท่านจอมพล ป. ได้พูดกับข้าพเจ้าว่า เออ ดีละ พระคุณเจ้าเป็นผู้มีบุญวาสนาบารมีที่จะบวชอยู่ในพระพุทธศาสนาได้นานๆ ขอนิมนต์อยู่ต่อไปเถอะ อย่าเพิ่งลาสิกขาเลย ทั้งนี้เพื่อจะได้บำเพ็ญบารมี และสั่งสอนญาติโยมให้รู้แจ้งต่อไป เท่านั้นละ เลิกกัน

          เมื่อท่านพูดจบ ข้าพเจ้ารู้สึกตัว ออกจากสมาธิ ความคิดที่จะลาสิกขาหายไปหมด เหมือนปลิดทิ้งไปกับนิมิตนั้น เหลืออยู่แต่ปีติ ความเอิบอิ่มใจ และความสุขใจ เครื่องแต่งตัวหรือชุดที่เตรียมไว้ทั้งหมดเพื่อลาสิกขา ได้บริจาคให้คนอื่นหมดทั้งสิ้น

          ในปีนั้นเอง ข้าพเจ้าได้ตั้งสัจจะปฏิญญา ต่อหน้าพระประธาน โดยมีท่านพระอาจารย์อ่อนเป็นสักขีพยานว่า นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปเป็นเวลา ๑๕ ปี ข้าพเจ้าจะไม่ลาสิกขาเลย

          เมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๗ สภาวะแวดล้อมทางครอบครัวบีบบังคับ ข้าพเจ้าคิดจะละสัจจะที่ตั้งไว้แล้ว จะลาสิกขา ตกลงได้ตัดชุดเครื่องแต่งตัวไว้เรียบร้อย ว่าจะสึกแน่นอนในปีนี้

เกิดบุรพนิมิตอีก

          ก่อนหน้าจะเข้าลาเจ้าอาวาส คืนหนึ่ง เวลาประมาณ ๒๑ นาฬิกาเศษๆ ข้าพเจ้าได้นั่งสมาธิ เมื่อจิตสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิแล้ว ได้เกิดนิมิตขึ้น เห็นปะรำอันกว้างใหญ่สวยงามมาก มีเครื่องประดับประดาตกแต่งมากมาย สวยงามมาก พร้อมทั้งมีสิ่งของต่างๆ ครบทุกอย่าง อยู่ในปะรำนั้น ต้องการอะไรพร้อมหมด

          มีพระราชบัลลังก์ประดิษฐานอยู่กลางปะรำ และมีในหลวงรัชกาลที่ ทรงประทับอยู่ ณ ที่นั้นด้วย โดยพระองค์ทรงประทับผินพระพักตร์ไปทางทิศใต้ ข้าพเจ้าเดินเข้าไปทางทิศเหนือของปะรำ เมื่อเข้าไปถึงพระราชบัลลังก์ ข้าพเจ้ายืนทางทิศใต้ของพระราชบัลลังก์ แล้วมองหน้าขึ้นดูในหลวง พร้อมกันนั้นในหลวงได้ทรงตรัสว่า เออ ดีละ พระคุณเจ้ามาถึงแล้ว พระคุณเจ้าต้องการสิ่งใดในปะรำนี้ ก็หาเลือกเอาตามใจชอบเถิด

          ข้าพเจ้าหาเลือกของทั่วปะรำ แต่หาของที่ชอบใจไม่มี ผลสุดท้าย ข้าพเจ้าได้เดินไปทางทิศใต้ของปะรำ ไปพบหมากเกลี้ยงสุกผลหนึ่ง มีสีเหลืองงาม เกิดชอบใจขึ้นมาทันที เลยยื่นมือขวาไปหยิบเอา แล้วเดินมาหน้าพระราชบัลลังก์ ที่ในหลวงทรงประทับอยู่

          พระองค์ทรงตรัสกับข้าพเจ้าว่า ท่านเคยขับขี่เครื่องบินแล้วหรือยัง

          ข้าพเจ้าตอบว่า ยังไม่เคยขับขี่เลย

          พระองค์ทรงตรัสกับข้าพเจ้าว่า ถ้าอย่างนั้น ขอนิมนต์ท่านไปขับขี่เอา เครื่องบินจอดอยู่ทางทิศตะวันตกของปะรำโน้น

          ข้าพเจ้าตอบพระองค์ท่านว่า ขับขี่ไม่เป็น

          เอ้า ถ้าอย่างนั้นจะพาไปขับขี่ พระองค์ท่านพาขับขี่เครื่องบินรอบปะรำ ๔ รอบ แล้วนำเครื่องลงจอด เสด็จกลับขึ้นไปประทับบนบัลลังก์ตามเดิม แล้วตรัสว่า พระคุณเจ้าเป็นผู้มีบุญวาสนาบารมีที่จะบวชอยู่ในพระพุทธศาสนาตลอดไป นิมนต์ท่านอย่าเพิ่งสึก ให้บำเพ็ญบารมีสั่งสอนญาติโยมต่อไป เท่านั้นละเลิกกัน

          พอตรัสจบ ท่านเตรียมจะเสด็จลงจากบัลลังก์ ข้าพเจ้าก็เตรียมจะเดินออกจากปะรำ ก็พอดีคลายออกจากสมาธิ รู้สึกตัวขึ้นมา

          ความอยากลาสิกขาหายไปหมดสิ้น มีแต่ความอิ่มเอิบชุ่มฉ่ำ และมีความสุขใจ เครื่องแต่งตัวที่เตรียมไว้ว่าจะลาสิกขา ก็ได้บริจาค แม้แต่สตางค์ที่มีอยู่ ก็ได้บริจาคหมด ไม่เหลือไว้ ในบ่ายของวันนั้นเอง

          ข้าพเจ้ามีความต้องการที่จะศึกษาธรรมะให้รู้ถ่องแท้ ทั้งด้านปริยัติธรรม และด้านปฏิบัติล้วนๆ โดยเฉพาะด้านปฏิบัติในสมัยนั้น หาครูอาจารย์ที่จะแนะนำสั่งสอนมีน้อยมาก ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติกัมมัฏฐาน ตามที่ได้เล่าเรียนมาในหลักสูตรของนักธรรมชั้นเอกด้วยตนเองเป็นส่วนมาก โดยไม่มีครูอาจารย์ช่วยแนะนำ

          ได้ปฏิบัติโดยลำพัง และการปฏิบัติก็ได้ผลเกินคาด เพราะยิ่งปฏิบัติไปเท่าไร จิตใจยิ่งมีความละเอียดอ่อน ยิ่งซาบซึ้งในรสพระธรรมมากขึ้นเท่านั้น ทำให้ข้าพเจ้าอยากจะศึกษาด้านวิปัสสนาธุระมากขึ้น

          เมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๐ ได้เข้าอบรมวิปัสสนากัมมัฏฐานที่วัดมหาวนาราม อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี เป็นการเปิดอบรมปีแรก มีหลวงพ่ออาสภมหาเถระ (อาจ อาสโภ) เป็นประธานอำนวยการ ได้อบรมอยู่เป็นเวลา ๒ เดือน

          ผลของการอบรมวิปัสสนาไม่เป็นที่พอใจ จึงได้ลาออกจากสำนัก พร้อมด้วยคณะครูอาจารย์จำนวน ๔ รูป กับข้าพเจ้า ได้เข้าพักอยู่ที่อ่างฮัง ซึ่งตั้งอยู่ในระหว่างภูจันทร์และภูเขาขาม นานเป็นเดือนๆ ต้องประสบกับอุปสรรคนานาประการ ทั้งพวกสัตว์ร้าย พวกเทวดาที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ พวกอมนุษย์รบกวนอยู่ตลอดเวลา

          ข้าพเจ้าได้ประพฤติปฏิบัติในบทของพระกัมมัฏฐานอย่างเคร่งครัด มีการสำรวมระวังจิตให้ตื่นอยู่ตลอดเวลา ไม่กล้าฝ่าฝืนแม้แต่สิกขาบทเล็กๆ น้อยๆ จึงสามารถเอาชนะข้าศึกทั้งปวงได้

          แต่อนิจจา เพื่อนทั้ง ๓ ที่อยู่ด้วยกัน ได้ถึงแก่มรณกรรมด้วยอำนาจของไข้มาลาเรีย เนื่องจากบริเวณป่าแห่งนั้น มีเชื้อมาลาเรียชุกชุมมาก ยาที่จะรักษาก็หายาก ต้องใช้ยาสมุนไพร ผลสุดท้ายต้องเสียเพื่อนร่วมปฏิบัติธรรมไป แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคที่เกิดขึ้น ได้ฝึกจิตใจให้พร้อมในการที่จะเผชิญกับสิ่งต่างๆ ได้มอบกายมอบใจ พร้อมทั้งชีวิต ต่อพระพุทธเจ้า ต่อพระธรรม ต่อพระสงฆ์ แม้ว่าจะตายในชั่วโมงนี้ นาทีนี้ และวินาทีนี้ ก็ยอมตาย แต่จะไม่เลิกละการปฏิบัติเป็นเด็ดขาด

          เมื่อข้าพเจ้าได้ปลงภาระแล้ว อุปสรรคทุกสิ่งทุกอย่างก็หมดปัญหา สามารถเอาชนะตัวเองและอุปสรรคที่เกิดขึ้นได้ แต่มีปัญหาอยู่ที่ว่า สถานที่อยู่ไกลจากหมู่บ้าน การบิณฑบาตไม่สะดวก จึงตัดจากการบิณฑบาต อาศัยฉันหัวเผือกหัวมันที่โยมมาถวายไว้ และอาศัยการฉันใบไม้ตามป่าเป็นภัตตาหารวันละมื้อ จนทำให้ร่างกายซูบผอม จะเดินไปไหนมาไหนก็ลำบาก เดินไปประมาณ ๑๐ เมตร ต้องหยุดพักเอาแรง

          เช้าวันหนึ่ง หลังภัตตาหารเสร็จ ข้าพเจ้าฉุกคิดขึ้นมาว่า ตายเร็วแต่ไม่ได้บรรลุคุณวิเศษเป็นที่พอใจ กับตายช้าแต่ว่าได้บรรลุคุณวิเศษและทำกิจพระศาสนา อะไรจะดีกว่ากัน ตกลงตัดสินใจเอาอย่างหลัง ตั้งแต่วันนั้นมา ก็ตั้งใจปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานมาเรื่อยๆ

          ค่ำวันหนึ่ง เวลาประมาณ ๑๘ นาฬิกาเศษ ข้าพเจ้าได้ทำสมาธิจนสามารถถอดจิตออกจากร่างไปเมืองนรก เมื่อไปถึงสถานที่มีบริเวณกว้างขวาง มองสุดลูกหูลูกตา เขาบอกว่าเป็นสถานที่พิพากษาคนทำบุญทำบาป

          ในขณะนั้น ข้าพเจ้ามองไป ดูสถานที่นั้น เห็นผู้คนรอพิพากษาโทษเต็มไปหมด แต่สิ่งที่ข้าพเจ้ามองดูแล้วสลดหดหู่ใจมากที่สุด คือข้าพเจ้ามองไปด้านทิศตะวันตกของศาลาพันห้อง เห็นสบง จีวร สังฆาฏิ ของพระภิกษุ สามเณร กองพะเนินกันขึ้น สูงเพียงปลายพร้าวปลายตาล กองผ้าเหมือนกับภูเขา

          ขณะนั้น ข้าพเจ้าคิดว่า โอ้ อนิจจา บวชเป็นพระเป็นเจ้าแล้วก็ยังตกนรกอยู่หนอ ยังไม่พ้นนรกหนอ ทำอย่างไรหนอ เราจะพ้นจากนรก

          ในสถานที่นี้ มีเรื่องอัศจรรย์ใจอยู่ว่า พระที่จะเข้ารับการพิพากษาโทษที่นี้ พอไปถึงสถานที่ สบง จีวร สังฆาฏิ จะเลื่อนลอยออกจากร่างกาย แล้วเลื่อนลอยขึ้นไปซ้อนกับจีวรที่มีอยู่ก่อน และพร้อมกันนั้น ก็จะมีผ้าขาวลอยมาสวมกายแทน แล้วจึงจะได้รับการพิพากษา

          หากว่าไม่มีโทษที่จะไปสู่อบาย ก็จะกลับไปสู่สุคติภพ เช่น เป็นพระอายุยังไม่ถึงฆาต ก็จะกลับมาเมืองมนุษย์อีก ผ้าสบง จีวร สังฆาฏิ ก็จะเลื่อนลอยมาสวมกาย พร้อมกันนั้น ผ้าขาวที่สวมกายอยู่ก่อน ก็หายไป พระรูปนั้นก็จะถูกส่งกลับเมืองมนุษย์อีก เพราะอายุยังไม่ถึงฆาต

          ข้าพเจ้าดูเหตุการณ์ในสถานที่แห่งนี้จนเป็นที่พอใจ ทั้งเปิดดูประวัติของตัวเองที่ถูกบันทึกไว้ในบัญชีว่า เราพ้นจากนรกแล้ว หรือว่าจุติแล้วยังจะมาตกนรกอยู่อีก เมื่อเปิดดูการทำบุญทำบาปแล้ว ก็มาบวกลบคูณหารกันว่า เออ เรานี้ได้ทำบุญมากกว่าทำบาป คงจะไม่ตกนรกแน่

          อยู่ในสถานที่นี้จนเป็นที่พอใจ ก็หันหลังกลับ ประมาณลัดมือเดียว คือมันเร็วเหมือนความคิด คือพอหันกลับ คิดจะกลับเท่านั้น ก็ถึงที่แล้ว รู้สึกตัวคลายออกจากสมาธิ ตรวจดูนาฬิกา เป็นเวลา ๑๓ ชั่วโมงพอดี

           การอยู่ป่าของข้าพเจ้า ผ่านมาเป็นเวลานานพอสมควร แต่ไข้มาลาเรียยังไม่หาย จึงกลับไปพักรักษาตัวอยู่ที่บ้านโยมพ่อโยมแม่ เมื่ออาการไข้หายเป็นปกติแล้ว ชาวบ้านอีเติ่งได้นิมนต์ให้อยู่จำพรรษาที่วัดโคกสว่าง บ้านอีเติ่ง ข้าพเจ้ารับนิมนต์

          วันหนึ่ง ชาวคณะวัดบ้านนาชุมใต้ ได้จัดงานบุญประจำปี (บุญมหาชาติ) ได้นิมนต์ข้าพเจ้าไปเป็นช่างทำหอตักบาตรสวรรค์ให้ ข้าพเจ้ารับนิมนต์ หอสวรรค์นั้นสูง ๑๒ เมตร

          บังเอิญขณะตอกตะปูอยู่ บันไดขั้นสุดท้ายหลุด ขณะตอกขั้นบันได ข้าพเจ้านั่งห้อยขา แต่ว่าเวลาตกข้าพเจ้านั่งท่าพับเพียบ เหมือนนั่งรับแขก มือขวาถือขวานตอกตะปู วางอยู่เข่าขวา มือซ้ายถือตะปู วางอยู่เข่าซ้าย

          ขณะนั้น ข้าพเจ้ามีใจเป็นปกติ ไม่ตกใจ ไม่กลัวตายอะไรทั้งนั้น เวลาตกลงมา มันเพลิน มันเบาเหมือนกับปุยฝ้ายหรือสำลีลอยลงมา

          แต่ชวนจิตมันเร็วมาก นึกได้ว่าเราตกลงไปนี้ จะไปถูกกับตอกุงที่อยู่ข้างล่าง พอนึกได้ จึงเอี้ยวตัวไปข้างซ้าย ร่างกายก็เลื่อนตาม พร้อมกับร่างกายถึงพื้นพอดี

          เช้านั้น คนมาทำพิธีเปิดงาน มาถวายภัตตาหารเช้าเกือบร้อย ต่างเฮโลวิ่งมาหา ต่างคนก็ต่างวิ่ง พร้อมกับถามว่า เป็นอย่างไรๆ

          ขณะนั้น มีผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งเคยนับถือกัน รักกันสมัยเข้าโรงเรียนด้วยกัน วิ่งเข้ามาหา จนลืมตัวยื่นแขนทั้งสองเข้ามาจะโจม (ประคอง) รักแร้สั่น พร้อมถามว่า เป็นอย่างไรข้าพเจ้าตอบว่า ไม่เป็นไรดอก พร้อมนั้น ข้าพเจ้าก็ลุกขึ้นเดินเข้าไปห้องน้ำเพื่อไปเบา

          คนทั้งหลายที่กุลีกุจอวิ่งเข้ามาหา เมื่อเห็นข้าพเจ้ายืนขึ้นและไม่เป็นอะไร ต่างตะลึง เหมือนถูกมนต์สะกด โดยเข้าใจว่าข้าพเจ้ามีฤทธิ์เหาะได้

          หลังจากช่วยงานวัดนาชุมใต้แล้ว ข้าพเจ้ากลับวัด เริ่มทำความเพียรต่อจนเป็นที่พอใจในทางสมถะ เมื่อเห็นว่าได้บำเพ็ญเพียรมาสมควรแล้ว ก็คิดอยากจะทดลองดูว่าจิตนี้มีอำนาจ มีพลัง มีอานุภาพ เหมือนตำรากล่าวไว้จริงไหมหนอ

          ใคร่ครวญกลับไปกลับมาว่า เราจะทดลองวิธีไหนก่อนหนอ ฉุกคิดขึ้นมาว่า ขณะนี้เราจะทำบุญบวชนาคอยู่ ๒ นาค แต่เงินยังไม่มี เอ๋ เราทดลองเรื่องนี้ก่อนดีกว่า บาปก็คงไม่บาปมากดอก เพราะเราเอามาทำบุญ

          วันหนึ่ง มีโยมมาสนทนาธรรม ข้าพเจ้าก็เริ่มทดลองโดยเอาวัตถุมงคลมาให้โยม แล้วบอกว่าให้เป็นของขวัญโยม เรื่องสะตุ้งสตางค์ไม่ว่ากระไรดอก (ปากพูด) แต่ขณะนั้น ใจนึกแล้วว่า วัตถุมงคลนี้อาตมาขอโยม ๖๐๐ บาท เพื่อว่าจะเอามาซื้อบริขารบวชนาค ขอให้โยมบอกมาเดี๋ยวนี้ว่า จะถวาย ๖๐๐ บาท

          เรานึกในใจ พร้อมกับทำใจให้สงบเป็นปกติ ไม่กี่นาที โยมก็พูดขึ้นมา พร้อมกับยื่นปัจจัยถวาย ๖๐๐ บาท ถ้าคนไหนมีเงินมาก เราก็เอา ๑,๐๐๐ บาท ทดลองกลับไปกลับมาอยู่อย่างนี้ ไม่นานก็ได้เงินซื้อเครื่องบริขารบวชนาค พร้อมถวายพระ ค่าอาหาร ค่ามหรสพ และอื่นๆ

          ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ เรื่องนี้ก็ไม่ได้ทำอีก และไม่คิดจะทำ แต่หันไปทดลองอย่างใหม่ บางครั้งโยมมาหาเรานึกให้เขาร้องไห้ เขาก็จะร้องไห้ และในขณะที่เขาร้องไห้อยู่นั้น เรานึกให้เขาหัวเราะ เขาก็จะหัวเราะ เรานึกให้ร้องไห้และหัวเราะ เขาก็จะร้องไห้และหัวเราะสลับกันไป

          บางครั้ง เราเอายาขี้ผึ้งบริบูรณ์ทาตาเรา แต่เรานึกให้คนนั้นคนนี้แสบตา ร้องทุรนทุราย เขาก็จะเป็นตามเรานึก บางครั้ง เรานวด (สีผึ้ง) สีที่ริมฝีปากของเรา พร้อมนึกในใจให้คนโน้นคนนี้เหนียวริมฝีปาก ร้องทุรนทุราย เขาก็มีอาการตามเรานึก บางทีพระ เณรซน เราสั่งให้ยืนตากแดดอยู่ ๓ ชั่วโมง อย่ากระดุกกระดิก ก็ยืนอยู่ที่นั้นตามสั่ง

          บางครั้ง สามเณรนอนตื่นสาย เราสั่งให้นอนต่อ ๓ ชั่วโมง ใครมาปลุกก็อย่าพูดอย่าลุก ก็จะเป็นตามสั่ง บางครั้ง เวลาทำงาน พระภิกษุ สามเณรไม่มาช่วยกัน รูปไหนไม่มา เราสั่งให้นั่งลืมตาอยู่นั้น ๕ ชั่วโมง ใครมาถามก็อย่าพูด ก็จะเป็นไปตามสั่ง

          สรุปแล้วว่า เรานึกอย่างไร สั่งอย่างไร ก็จะเป็นไปตามนั้นทุกอย่าง จนพระภิกษุ สามเณรกลัว ชาวบ้านบางคนก็พูดว่า ข้าพเจ้าเป็นพระยาปากเข็ด (พูดศักดิ์สิทธิ์) บางคนก็พูดว่าข้าพเจ้าสามารถเหยียบแผ่นดินเอียง (แผ่นดินเดื่อง)

          เรื่องการทดลองพลังจิตนี้ ข้าพเจ้าใช้เวลาทดลองอย่างนั้นอย่างนี้อยู่ราว ๖ เดือน เมื่อรู้ว่าจิตมีพลัง มีอำนาจ มีอานุภาพ ตามที่ท่านกล่าวไว้ในเรื่องกสิณจริง นับแต่นั้นมาจนถึงวันนี้ (๙ กันยายน ๒๕๔๐) ก็ไม่ได้ทดลองอีก และไม่คิดที่จะทดลองตลอดชีวิต

          พิเศษ ปี พ.ศ.๒๕๐๐ กึ่งพุทธกาลนี้ นอกจากการปฏิบัติพระกัมมัฏฐานแล้ว ข้าพเจ้าจะต้องทำความดีอย่างใดอย่างหนึ่งไว้เป็นอนุสรณ์ และแล้ว ความคิดเกิดเป็นจริงขึ้นมา คือข้าพเจ้าสอบนักธรรมชั้นเอกได้ และท่องพระปาฏิโมกข์ ๑๒ วันจบ แล้วได้ขึ้นแสดง

          พ.ศ.๒๕๐๑ หลวงพ่อเจ้าคณะอำเภอเขมราฐสั่งให้ไปปฏิบัติกิจพระศาสนา เป็นครูสอนพระปริยัติธรรมที่วัดสว่างโพธิ์ศรี บ้านหัวนา ตำบลหัวนา อำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี

          ปีนี้ นอกจากเป็นครูสอนนักธรรมแล้ว ยังได้ปฏิบัติกัมมัฏฐานอย่างเคร่งครัดและติดต่อกัน นั่งอยู่ก็ต้องกำหนดภาวนา ยืน เดิน นอน สรงน้ำ ดำน้ำ ถ่ายหนัก ถ่ายเบา พูดคุย ฉัน ดื่ม ก็ต้องกำหนดภาวนา ทำความรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา

          อะไรเป็นเหตุปัจจัยให้ทำเช่นนั้น มีเรื่องอยู่ว่า พระภิกษุ ๒ รูป คือ เจ้าอาวาสและรองเจ้าอาวาส วันหนึ่ง คณะญาติโยมวัดใกล้เคียงกัน ไปนิมนต์พระมาจำพรรษาที่วัด เจ้าอาวาสรับไว้ วันหลังมา ได้สั่งให้รองเจ้าอาวาสไปอยู่ที่วัดซึ่งโยมนิมนต์ รองเจ้าอาวาสไม่ไป ตกลงเจ้าอาวาสไปเอง เหตุปัจจัยที่ตามมา เจ้าอาวาสเจ็บใจ ไม่พอใจ และผูกพยาบาทอาฆาต จองล้างจองผลาญ ก่อกรรมก่อเวรรองเจ้าอาวาส โดยไปว่าจ้างหมอฝั่งลาวมาใส่ของ รองเจ้าอาวาสได้มาพึ่งข้าพเจ้า ให้ข้าพเจ้าช่วยป้องกันให้

          ครั้งแรก เขาปล่อยกระดูกไก่ซึ่งทำเป็นหุ่น เคียน (พัน) ด้วยฝ้ายเหลืองฝ้ายแดง ทำเป็นปีกด้วยเทียนผึ้งสด ๒ เล่มปลายของกระดูกไก่ข้างหนึ่งตัดให้เพียง (เสมอ) เป็นธรรมดา อีกข้างหนึ่ง ฝนเป็นคมปากปลาฉลาม มีว่านกระจายติดตรงกลาง สำหรับเป็นพาหะพาไป

          ปล่อยมาครั้งแรก ไม่ถูก กระทบกับแป้นกระดานตกลงพื้น ยังไม่สิ้นฤทธิ์ ยังหมุนอยู่ เก็บใส่ขวดโหลไว้

          หลังจากนั้น ก็ปล่อยว่านหัวบ่วมมา แต่ไม่ถูก ได้เก็บไว้เหมือนเดิม

          หลังจากนั้นมาไม่กี่วัน ได้ปล่อยก้นขวดแม่โขง โดยฝนเป็นสามเหลี่ยม เคียนด้วยฝ้ายเหลืองฝ้ายแดง ทำเป็นปีกด้วยเทียนผึ้งสด ๒ เล่ม มีว่านกระจายติดไว้ตรงกลางเพื่อเป็นตัวพาหะพาไป

          ครั้งนี้ ปล่อยมาในขณะขี่ม้าอยู่ หุ่นได้เวียนรอบม้าจนม้าวิ่งไปไม่ได้ ในเสี้ยวนาทีวิกฤตนั้นเอง หุ่นได้วิ่งชนอานม้าด้านหลัง ทะลุหนัง ทะลุไม้โครงอาน ติดอยู่กับโครงเหล็ก หมดฤทธิ์ เก็บใส่ขวดโหลไว้

          อีกไม่กี่วัน ได้ปล่อยหุ่นที่เป็นสปริงท้ายอานรถจักรยาน แขวนด้วยว่านหัวบ่วม ติดด้วยว่านกระจายปล่อยมาเวลาเที่ยง แต่บังเอิญหุ่นจะหมดฤทธิ์ ได้แปรสภาพเป็นค้างคาวตัวโตๆ บินปรี่เข้ามาใส่ จึงเอาผ้าอาบปัดป้องกันตัว ค้างคาวตกถึงพื้น กลายเป็นสปริงอานท้ายรถจักรยาน ได้เก็บไว้ในที่ปลอดภัย

          บางครั้งก็เสกรากไม้ เสกยาเป็นงูพิษไว้ เพื่อให้มาฉกมากัด พอเห็นแล้วคิดว่าเป็นงูจริงๆ แต่เมื่อเสื่อมฤทธิ์ก็กลายเป็นรากยา (รากไม้มีพิษ)

          เขาได้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ตลอดพรรษา แต่ด้วยพลังจิตที่ได้อบรมปฏิบัติมา ทำให้ข้าพเจ้ารู้ทันเหตุการณ์ทุกอย่าง และป้องกันได้ทุกครั้ง หมอทำอะไรไม่ได้ ได้มาท้าข้าพเจ้าถึงกุฏิที่อยู่ว่า พระน้อยองค์นี้ มันจะแน่ขนาดไหนกูจะจัดการขั้นเด็ดขาดมันเลย

          หลังจากนั้นมาไม่นาน เขาก็ประกอบพิธีบังฟัน เพื่อจัดการขั้นเด็ดขาดและครั้งสุดท้าย แต่อาศัยพลังจิตทำให้ข้าพเจ้ารู้ทันเหตุการณ์ จึงให้คณะญาติของรองเจ้าอาวาสและคนเคารพ ไปทำลายพิธีเขา จนเขากลัว ลุกเดินออกจากพิธีไป ทั้งเจ้าอาวาสและโยมที่ว่าจ้างมา ได้ใช้ความพยายามทุกวิถีทาง แต่ทำอะไรไม่ได้ หลังจากออกพรรษาแล้ว ต่างคนก็ต่างไป จนบัดนี้ ยังไม่ทราบว่าเขาไปไหน อยู่ที่ใด

          หลังจากออกพรรษาแล้วไม่กี่วัน นายจันทร์ ซึ่งอยู่บ้านไม่ไกลจากบ้านที่ข้าพเจ้าพำนักจำพรรษาอยู่ จะมาฆ่าโดยเข้าใจผิดว่า ข้าพเจ้าไปชอบภรรยาเขา เขาเลยเอาผ้าอาบน้ำพันมีดโต้ปลายแหลม มานั่งรออยู่ที่หน้าห้องของข้าพเจ้า

          เพราะตอนนั้น ข้าพเจ้าไม่อยู่ ไปธุระ พอข้าพเจ้าเข้าห้องมา ก็รู้ทันทีว่านายจันทร์จะมาฆ่า จึงพูดขึ้นว่า พ่อจันทร์เอ้ย เจ้าอย่าคิดฆ่าอาตมาเลย อาตมาไม่ได้คิดเป็นชู้เป็นแฟนกับภรรยาของเจ้าดอก แต่ภรรยาเจ้ามาถวายภัตตาหารเช้า ภัตตาหารเพล แล้วไม่รีบกลับ ไปคุยกับพระนั้นเณรนี้จนทำให้ทางบ้านเข้าใจผิด

          เขาได้ยกมือท่วมหัวว่า สาธุ หากครูบาอาจารย์ไม่พูดความจริงให้รู้วันนี้ ผมฆ่าท่านแน่ นี้ดูซิผมเตรียมมีดมาพร้อมแล้ว เขาคลี่ผ้าอาบน้ำที่พันมีดมาออกให้ดู ข้าพเจ้าฉุกคิดขึ้นมาว่า ที่ข้าพเจ้าไม่ถูกฆ่าวันนี้ เพราะอำนาจพลังจิตที่ประกอบด้วยเมตตาธรรม และพูดความจริงแท้ๆ โอ้อนิจจา โลกนี้ช่างสับสนวุ่นวายเชียวหนอ

          พ.ศ.๒๕๐๒ ได้ย้ายมาอยู่วัดพิชโสภาราม ตำบลแก้งเหนือ อำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็นวัดอยู่ประจำถึงปัจจุบันนี้

          ในพรรษาแรกแทบจะเอาตัวไม่รอด ถูกพวกคันถะ (เป็นชื่อที่พวกเขาเรียกกันเอง) ที่เป็นภูมิ ซึ่งพากันอยู่ในเขตวัดกับรั้วของชาวบ้านต่อกัน มารบกวน มารังควานอยู่เสมอ

          บางครั้งแปลงเป็นสุนัข จะมากัด มาทำร้าย บางครั้งก็ปิดประตูทัน บางครั้งปิดประตูไม่ทัน มันกรูเข้าไปในกุฏิจะทำร้าย ต้องใช้ไม้เรียวเฆี่ยน มันจึงวิ่งหนี

          บางทีแปลงเป็นหญิงสาวจะมาคร่อม มานอนทับตัวข้าพเจ้า บางครั้งปิดประตูทัน บางครั้งปิดประตูไม่ทัน มันก็ผ่านประตูเข้าไป ข้าพเจ้าต้องเอาหวายเฆี่ยน มันกลัว วิ่งหนี บางทีข้าพเจ้าต้องตามไปถึงหน้าโบสถ์ แล้วภาพของพวกคันถะซึ่งมาในรูปของผู้หญิงก็หายไป เป็นอยู่อย่างนี้ซ้ำๆ ซากๆ นานเกือบเป็นเดือน

          บางครั้งแปลงเป็นนกแสก (ภาคอีสานเรียกนกผีพาย) มาจับอยู่ที่โคมไฟเพดานกุฏิ ซึ่งเป็นกลางวันแสกๆ ข้าพเจ้านอนหงายมองดูพร้อมคิดว่า นกตัวนี้ มันเข้ามาได้อย่างไร ในขณะที่ข้าพเจ้ากำลังคิดอยู่นั้น มันก็บินถลาลงจากโคมไฟเข้าไปในทรวงอกของข้าพเจ้า ทำให้เจ็บปวด จิตใจอ่อนคล้ายจะเป็นบ้า พอข้าพเจ้ากำหนดภาวนาว่า รู้หนอๆๆ มันก็กระโดดออกจากร่างของข้าพเจ้าไป

          บางวันข้าพเจ้าลงฉันที่ศาลาการเปรียญ มองเข้าไปใต้โต๊ะหมู่บูชา เห็นพังพอนมันวิ่งไปวิ่งมา วอกแวกๆ อยู่ ก็คิดขึ้นมาว่า เอ๋ พังพอนตัวนี้ มันมาอยู่ที่นี้ได้อย่างไร ขณะข้าพเจ้าจ้องดูอยู่นั้นแหละ มันกระโดดเข้าไปในทรวงอกของข้าพเจ้า ทำให้เจ็บ ทำให้ปวด ทำให้หัวใจอ่อน

          ข้าพเจ้าคิดว่า ครั้งนี้เราคงตายแน่ หรือมิฉะนั้น คงกลายเป็นโรคหัวใจอ่อน เป็นบ้า พร้อมกันนั้นก็ได้กำหนดภาวนาว่า รู้หนอๆๆ ไป มันก็จะดิ้นตึงตังๆ ออกจากร่างข้าพเจ้าไป

          บางครั้ง ข้าพเจ้าทำวัตร สวดมนต์ เจริญภาวนาอยู่ มันจะเอาฉากหรือท่อนไม้โตๆ มากระทุ้งแป้นกระดานแอ้มกุฏิ ตรงโต๊ะหมู่บูชาอย่างแรง ทำเอากุฏิสั่นสะเทือนไปทั้งหลัง

          พวกคันถะมันรบกวนอยู่อย่างนี้ตลอดพรรษา จนทำให้คิดว่า คงอยู่ต่อไปอีกไม่ได้แล้ว ออกพรรษาแล้วคงจะได้ย้ายออกจากวัดนี้ไปอยู่ที่อื่น คงอยู่ต่อไปไม่ได้แน่ แต่ก็มาคิดพิจารณาทบทวนย้อนหลังอีกทีว่า เราเคยเจออุปสรรคมามากมายหลายต่อหลายครั้งแล้ว ร้อยเอ็ดเจ็ดหัวเมืองขึ้นเขาลงห้วย  เราเคยเอาชนะมาหมดแล้ว ทำไมจะมายอมแพ้เอาง่ายๆ

          คิดไปคิดมา ก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า เอ๋ เรายังไม่ได้เอาพุทธาวุธ (กรณียเมตตสูตร) ออกมาใช้ หลังจากวันนั้นมา ก่อนทำวัตรค่ำ ข้าพเจ้าได้เดินสวดกรณียเมตตสูตรรอบวัด วันละ ๓ รอบบ้าง ๒ รอบบ้าง ๑ รอบบ้าง ท้ายทำวัตร หรือก่อนนอน ก็สวดทุกวัน หลังจากนำพุทธาวุธออกมาใช้ ทำให้เอาชนะพวกคันถะ พวกคันถะยอมแพ้ พร้อมกันมามอบตัวรับใช้

          นับแต่วันนั้นมา เราจะนึกใช้พวกคันถะไปทำอะไรก็ได้ตามใจนึก บางทีพระสงฆ์สามเณรหรือชาวบ้านไปทำอะไรที่ไม่ดีมา มันก็มารายงานว่า พระรูปนั้นทำอย่างนี้ สามเณรรูปนี้ทำอย่างนั้น เป็นต้น จนโยมชาวบ้านวิพากษ์วิจารณ์กันว่า ข้าพเจ้ามีตาทิพย์

          สรุปแล้วว่า เราจะใช้พวกคันถะทำอะไร เรื่องไหน ได้ทุกอย่าง ที่เล่ามาไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน ไม่ใช่เรื่องแต่งขึ้นเอง เป็นเรื่องที่ประสบมา และไม่ใช่เรื่องนั่งเข้าสมาธิเข้าฌานดู แต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้น และรู้กันในขณะที่เราอยู่อย่างธรรมดาๆ นี้เอง เหมือนกับเรานั่งพูดนั่งคุยกันอยู่ตามปกติแต่ว่าไม่มีคนอื่นรู้เห็น ญาติโยมชาวบ้าน พระสงฆ์ สามเณรไม่รู้ไม่เห็นด้วย

          คือพวกคันถะนี้ เมื่อก่อนจะมาอยู่ที่วัดนี้ ดุร้ายมาก ในสมัยนั้น มีพวกพ่อค้าเดินทางมาขายของ ขายฆ้อง ขายนั่น ขายนี่ ถ้าพักแรมค้างคืนที่วัด มักจะนอนไหลตายกันบ่อยๆ และตายกันไปหลายศพด้วย จนพวกพ่อค้าทั้งหลายไม่กล้ามานอนพักแรมค้างคืนที่วัด โดยถือกันว่าเป็นวัดที่มีผีดุมาก เพราะว่า ตอนข้าพเจ้ามาอยู่แรกๆ มีพวกพ่อค้าเมืองเรณูนครมาขายผ้า ก็เคยมาพักและนอนไหลตายที่วัดนี้ด้วย

          แต่ต่อมา ได้ซื้อที่และขยายเขตวัดออกไป พวกคันถะอยู่ไม่ได้ ได้มาลาพากันหนีไปอยู่ที่ใหม่ หลังจากไปอยู่แห่งใหม่ ได้กลับมาเยี่ยม มาเยี่ยมครั้งแรก ทำให้สามเณรวารีช็อค (ตาย) ไป เกือบไม่ฟื้น มาเยี่ยมครั้งที่สอง ทำให้แม่ชีเขี่ยม (น้องสาวหลวงพ่อ) เป็นบ้า

          ครั้งที่สาม ข้าพเจ้าเข้าไปปฏิบัติธรรมในห้องกัมมัฏฐานเป็นเวลา ๙ วัน ก่อนไปได้สั่งพระภิกษุสามเณรไว้ว่า ๙ วันนี้ จะไม่ยุ่งกับโลกภายนอก หากว่าโยมพ่อโยมแม่ตาย ก็อย่าไปบอก มีอะไรจะต้องจัดต้องทำ ให้พากันทำไปเลย หลวงพ่อออกจากห้องกัมมัฏฐานมา จึงจะจัดการทีหลัง

          เจ้าคันถะได้โอกาส มาทำให้แม่ชีเขี่ยมเป็นบ้าอีก พระภิกษุ สามเณร โดยมีท่านหลวงปู่อ้วน อยู่ข้างนอก รักษาไม่หาย เพราะมันไม่กลัว หลวงปู่อ้วนเอายาระงับประสาทให้กินครั้งละ ๘–๑๐ เม็ด ก็ยังไม่ยอมนอน ไม่หาย

          พอถึงวันครบ ๘ แม่ชีเขี่ยมมีอาการหนักมาก ท่านหลวงปู่อ้วนได้ไปขอร้องให้ข้าพเจ้าออกมา ข้าพเจ้าไม่ออกมา โดยบอกท่านหลวงปู่ว่า ผมได้ตั้งสัจจะไว้แล้ว อย่าให้ผมต้องเสียสัจจะเลย ผมรู้มันหมดแล้วละปู่ ออกไปผมจะไปเหยียบมันเปๆ เลย ท่านหลวงปู่ผิดหวังกลับออกมา

          ค่ำวันนั้น หลังจากทำวัตรแล้ว นั่งสมาธิ พวกคันถะมันพากันกรูเข้าไปจะทำร้ายข้าพเจ้า ตนหนึ่งแปลงร่างเป็นเสือ ตนหนึ่งแปลงร่างเป็นสุนัขตัวโตๆ ดุร้ายมาก กรูเข้าไปจะทำร้ายข้าพเจ้า ข้าพเจ้านึกในใจว่า พวกมึงเข้ามาเลย กูไม่หนีมึงแม้แต่ก้าวเดียว

          เหมือนถูกมนต์สะกด คันถะทั้งสองยืนตกตะลึงตัวแข็งทื่ออยู่กับที่ พอได้สติขึ้นมา พวกมันพากันวิ่งกระโดดข้ามกำแพงไป ส่วนแม่ชีเขี่ยมก็หาย ซึ่งข้าพเจ้าก็ยังไม่ได้ออกมาเลย ตอนเช้าถึงได้ออกมา

          (หมายเหตุ) พวกอมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นพวกเทพ พวกเทวดา พวกปีศาจ พวกเปรต พวกอสุรกาย เป็นต้น เราไม่จำเป็นจะต้องพูดด้วยปาก เพราะเรานึกในใจเขาก็รู้ เขานึกเราก็รู้ แต่จิตของเราต้องมีอำนาจ ตั้งมั่นอยู่ในระดับเดียวกัน หรือสูงกว่าเขา จึงจะรู้ได้

          กรณีพิเศษ ในปี พ.ศ.๒๕๐๒ นั้น ได้เป็นประธานพาพระภิกษุ สามเณร และญาติโยม สร้างอุโบสถที่อดีตเจ้าอาวาสสร้างยังไม่เสร็จ ได้ตัดหลัง ปั้นกระเบื้อง มุงหลังคา

          ค่ำวันหนึ่ง หลังจากเลิกงาน สรงน้ำเสร็จ แล้วนั่งสมาธิประมาณ ๑๐ นาที จิตสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิ ขาดความรู้สึก พอรู้สึกตัวขึ้นมา ข้าพเจ้าอยู่เทวโลกชั้นดาวดึงส์ ได้เห็นวิมานของเทวดาทั้งหลาย แต่มีวิมานหลังหนึ่งสวยสดงดงามมาก ประดับประดาด้วยเพชรนิลจินดา มีประกายระยิบระยับ สวยงามมาก หาที่ติมิได้ มีเทวดาองค์หนึ่งรักษาอยู่ ข้าพเจ้าถามว่า วิมานใหญ่โตรโหฐาน สวยงามถึงขนาดนี้ ทำไมไม่มีเจ้าของ เทวดาตอบว่า ข้าพเจ้าเฝ้ารักษาไว้ให้เจ้าของเขา เจ้าของเขายังไม่มา ยังสร้างโบสถ์อยู่

          ข้าพเจ้ามองลงมาเมืองมนุษย์ เห็นพระภิกษุสามเณรกำลังพากันทำงานสร้างโบสถ์อยู่ บ้างก็ปั้นกระเบื้อง บ้างก็ผสมปูน บ้างก็เก็บกระเบื้อง เป็นต้น

          ข้าพเจ้านึกในใจว่า โอ้ การสร้างอุโบสถนี้ ได้บุญได้อานิสงส์ถึงปานนี้เชียวหรือ ข้าพเจ้าอยู่ในเทวโลกชั้นนั้นพอสมควรแล้วก็คิดจะกลับ พอหันหน้ากลับ ก็รู้สึกตัว คลายออกจากสมาธิ มองดูนาฬิกาได้ ๑๒ ชั่วโมงพอดี

          พ.ศ.๒๕๑๓–๒๕๑๔ ข้าพเจ้าได้ประพฤติปฏิบัติกัมมัฏฐานทั้งสมถะและวิปัสสนาอย่างเคร่งครัด มีจิตสำรวมระวังมากขึ้นกว่าเดิม พยายามทำจิตให้สงบตั้งมั่นแน่วแน่อยู่เสมอ ผลที่ได้ไม่เป็นที่พอใจ เป็นแต่แตกฉานในเรื่องนิมิต เรื่องความฝันต่างๆ และแตกฉานรู้เรื่องพลังของต้นไม้

          ซึ่งในสมัยครั้งนั้น ถ้ามีใครมาเล่าเรื่องนิมิต เรื่องความฝันให้ฟัง ข้าพเจ้าจะรู้ทันทีว่า มันเป็นอย่างไร เป็นเพราะอะไร มีอะไรเป็นเหตุให้เกิดนิมิตฝันเช่นนี้ เหมือนกับเห็นมาแล้ว

          ในเรื่องพลังของต้นไม้นี้ก็เหมือนกัน มันจะเห็นต้นไม้และเห็นพลังของต้นไม้เป็นตัวเป็นตนเหมือนคนเหมือนกับเราเห็นร่างกายและจิตใจ หรือเหมือนกับเราเห็นคนและเงาของคน

          ข้าพเจ้าได้ฉุกคิดขึ้นมาว่า ก็เรื่องอย่างนี้เอง ในครั้งพุทธกาลนั้น มีบุคคลบางจำพวกเห็นว่าต้นไม้มีวิญญาณ ถ้ามีคนไปตัดไปทำลายมัน มันก็จะรู้จักเจ็บปวดเหมือนกัน แต่ว่ามันพูดไม่ได้ พูดไม่เป็น ในการรู้พลังของต้นไม้นี้ก็ดีเหมือนกัน เพราะทำให้เกิดความรู้ ความฉลาด หมดความเคลือบแคลงสงสัย ได้เกร็ดความรู้เป็นกรณีพิเศษ

          พ.ศ.๒๕๑๕ ข้าพเจ้ามีปณิธานจิตแน่วแน่ในอันที่จะสอนธรรมะภาคปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานให้ได้ แต่ก็ยังมีความกังวลใจอยู่ เพราะการปฏิบัติของตัวเองยังไม่เป็นที่พอใจเท่าที่ควร

          ในพรรษานั้นเอง ข้าพเจ้าได้ปล่อย ได้ปลง ได้วางภาระทุกสิ่งทุกอย่าง เข้าปฏิบัติ ในการปฏิบัติครั้งนี้ ได้เอาชีวิตเป็นเดิมพัน โดยได้ตั้งปณิธานจิตอย่างแน่วแน่ อธิษฐานจิตนึกเอาแผ่นดินทั้งแผ่นให้แข็งเหมือนเพชร

          เมื่อใด แผ่นดินซึ่งแข็งเหมือนเพชร ไม่ละลายเป็นน้ำไป หากว่าธรรมะชั้นสูงที่ยังไม่เกิด ไม่บังเกิดขึ้นแก่ข้าพเจ้าเป็นที่พอใจ ข้าพเจ้าจะไม่ยอมเลิกการปฏิบัติเป็นเด็ดขาด แม้ชีวิตจะตายไปในวันนี้ ชั่วโมงนี้ นาทีนี้ ในวินาทีนี้ ก็ยอมตาย แต่จะไม่เลิกละการปฏิบัติเป็นเด็ดขาด

          ด้วยปณิธานจิตอันแน่วแน่ที่ได้ตั้งไว้ จึงเป็นพลวปัจจัยให้การปฏิบัติ การบำเพ็ญเพียรของข้าพเจ้า ได้สำเร็จผลเป็นที่พอใจ คือ

          ครั้งที่ ปฏิบัติอยู่        วัน      การปฏิบัติก็ผ่านไปได้

          ครั้งที่ ปฏิบัติอยู่        วัน      การปฏิบัติก็ผ่านไปได้

          ครั้งที่ ปฏิบัติอยู่   ๑๙   วัน      การปฏิบัติก็ผ่านไปได้

          ครั้งที่ ปฏิบัติอยู่   ๘๒ วัน      ก็ผ่านการปฏิบัติไปได้

          หลังจากผ่านการปฏิบัติไปแล้ว ข้าพเจ้าเกิดความอ่อนใจ ท้อใจ ในการที่จะสอนวิปัสสนากัมมัฏฐาน โดยคิดว่า ธรรมะภาคปฏิบัตินี้ ละเอียดมาก ยากที่คนจะปฏิบัติตามได้ และเกรงว่า เมื่อผู้ปฏิบัติเป็นอะไรไป จะแก้ไขไม่ได้

          แต่ด้วยความรักงานประเภทนี้ จึงตัดสินใจในอันที่จะสอนให้ผู้อื่นรู้บ้าง ตกลงสอน พร้อมกับบันทึกการสอนประจำวันไว้ด้วย

          เมื่อลงมือสอน ก็เกิดความมั่นใจยิ่งขึ้น เพราะบางคนมาปฏิบัติ ๓ วัน ก็ได้ผล บางคน ๕ วัน บางคน ๗ วัน บางคน ๑๕ วัน บางคน ๓๐ วัน ก็ได้ผล แล้วแต่บุญวาสนาบารมีของแต่ละบุคคล

          บุรพนิมิตที่เกิดขึ้น ก่อนที่จะลงมือสอนธรรมะภาคปฏิบัติ ในขณะที่อยู่ในสมาธิ มักจะเกิดนิมิตขึ้นมาบ่อยๆ ว่า มีพระมาบอกให้ไปรับพัดที่กรุงเทพมหานคร แต่ข้าพเจ้าตอบว่า ไม่ไป ผลสุดท้าย มีพระมหาเถระผู้ใหญ่ทางกรุงเทพมหานคร นำพัดมามอบให้ที่วัด ข้าพเจ้าดูแล้วเป็นพัดวิปัสสนา พอคลายออกจากสมาธิ ก็นึกได้ว่า เราเคยได้บำเพ็ญบารมีทางวิปัสสนามาแล้ว การสอนวิปัสสนาของเราคงจะได้ผล จึงได้ตัดสินใจสอนวิปัสสนาเรื่อยมา

          แต่มาคิดอีกแง่หนึ่งว่า ผลของการปฏิบัติวิปัสสนา ผู้ปฏิบัติจะได้ผลมากน้อยแค่ไหนเพียงไร คนอื่นไม่รู้ไม่เห็นด้วย รู้ได้เฉพาะตนเท่านั้น จึงมาดำริในการที่จะสอนสมถกัมมัฏฐานควบคู่กันไปด้วย

          หลังจากนั้นมา เวลาอยู่ในสมาธิจะเกิดนิมิตขึ้นบ่อยๆ ว่า มีพระมาบอกให้ไปรับพัดที่กรุงเทพมหานครข้าพเจ้าได้บอกพระว่า จะไปรับพัดอย่างไร เพราะเพิ่งรับพัดมาไม่นานนี้เอง ไม่ไปดอก แต่ผลสุดท้าย ก็มีพระมหาเถระทางกรุงเทพมหานคร นำพัดมามอบให้ที่วัด ข้าพเจ้ารับแล้วอ่านดู เป็นพัดสมถะ

          พอรู้สึกตัว คลายออกจากสมาธิ ก็ฉุกคิดขึ้นได้ว่า เรานี้ได้บำเพ็ญบารมีมาทั้งในด้านวิปัสสนา ทั้งในด้านสมถะ นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป การสอนวิปัสสนาและสมถะจะได้ผล แล้วข้าพเจ้าก็ได้เริ่มทำการสอนทั้งสมถะและวิปัสสนาควบคู่กันไป แล้วแต่บารมีของแต่ละบุคคลที่เข้ามาปฏิบัติ และกาลเวลาอำนวย ผลที่ได้ก็เป็นที่พอใจ ทั้งทางสมถะและวิปัสสนา

เปรียบเทียบบุรพนิมิต

           บุรพนิมิตที่เห็น ฯพณฯ ท่านจอมพล ป. พิบูลสงคราม มาสำรวจหาผู้มีบารมีที่จะได้บวชอยู่ในพระพุทธศาสนา ในวันที่ข้าพเจ้าจะลาสิกขาครั้งแรก แล้วท่านบอกว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้มีบุญบารมี จะได้บวชอยู่ในพระพุทธศาสนาได้นานๆ แล้วท่านนิมนต์ข้าพเจ้าไว้ ไม่ให้ลาสิกขา หมายถึง บารมีที่เราได้เคยบำเพ็ญมาแล้ว มาเป็นแรงกระตุ้นไว้ ห้ามไว้ไม่ให้ลาสิกขา

          สำหรับบุรพนิมิตที่เห็นปะรำอันกว้างใหญ่สวยงามมาก มีเครื่องตกแต่งประดับประดามากมาย มีสิ่งของต่างๆ ครบทุกอย่างอยู่ในปะรำนั้น มีความต้องการสิ่งใด อะไร มีพร้อมหมด และมีพระราชบัลลังก์ประดิษฐานอยู่ตรงกลางของปะรำ มีในหลวงรัชกาลที่ ๔ ทรงประทับอยู่บนบัลลังก์นั้นด้วย โดยพระองค์ทรงผินพระพักตร์ไปทางทิศใต้ ข้าพเจ้าเดินเข้าไปทางทิศเหนือของปะรำ

          เมื่อไปถึงพระราชบัลลังก์ ข้าพเจ้ายืนทางทิศใต้แล้วมองขึ้นดูในหลวงท่าน พร้อมกันนั้น ในหลวงท่านตรัสว่า เออ ดีละ พระคุณเจ้ามาถึงแล้ว พระคุณเจ้าต้องการสิ่งใดในปะรำ นิมนต์เลือกหาเอาตามใจชอบเถิด

          ข้าพเจ้าเดินหาของที่ชอบใจทั่วปะรำ หาสิ่งที่ชอบใจไม่มี ผลสุดท้ายได้เดินไปทางทิศใต้ของปะรำ ไปพบหมากเกลี้ยงสุกผลหนึ่ง มีสีเหลืองคล้ายสีจีวร ชอบใจถือเอาไว้แล้วเดินมาที่พระราชบัลลังก์ที่ในหลวงทรงประทับอยู่

          พระองค์ทรงตรัสกับข้าพเจ้าว่า พระคุณเจ้าเคยขี่เครื่องบินแล้วหรือยัง

          ข้าพเจ้าถวายพระพรตอบว่า ยังไม่เคยขับขี่

          พระองค์ทรงตรัสอีกว่า ถ้าอย่างนั้น นิมนต์ท่านไปขับขี่เอาเครื่องบินที่จอดอยู่ทางทิศตะวันตกของปะรำนั้น

          ข้าพเจ้าถวายพระพรตอบว่า ขับขี่ไม่เป็น

          ในหลวงจึงนำข้าพเจ้าขึ้นเครื่อง พาบินวนรอบปะรำ ๔ รอบ แล้วลงจอด พระองค์ท่านเสด็จขึ้นประทับบนบัลลังก์อีก ทรงตรัสกับข้าพเจ้าว่า ให้อยู่บำเพ็ญบารมีอบรมสั่งสอนศิษย์และญาติโยมต่อไป

          นิมิตทั้งหมด ที่เกิดขึ้นในครั้งนั้น ยังไม่ได้คิดว่าเป็นเรื่องอะไร เมื่อได้ประพฤติปฏิบัติธรรม เจริญวิปัสสนากัมมัฏฐานผ่านไปดีแล้ว จึงชะเง้อมองกลับพิจารณาย้อนหลัง จึงทราบได้อย่างทะลุปรุโปร่งว่า

          ของที่มีอยู่ในปะรำทั้งหมด หมายถึง บุญบารมีที่เราได้บำเพ็ญมาเต็มสมบูรณ์แล้ว

          พระราชบัลลังก์นั้น หมายถึง ศีล สมาธิ

          ในหลวงรัชกาลที่ ๔ หมายถึง อริยมรรคสี่ อริยผลสี่

          หมากเกลี้ยงที่สุก มีสีเหลือง สวยสดงดงาม หมายถึง ความบริสุทธิ์ ความหมดจดของจิตใจ

          เครื่องบินที่บินรอบปะรำ ๔ รอบ หมายถึง วิปัสสนาญาณ ๑๖ ต้องเกิดขึ้นครบ ๔ รอบ จึงจะประหาณอาสวะกิเลสเครื่องเศร้าหมอง ให้หมดจดลงได้โดยสิ้นเชิง

หลักการสอน

          เมื่อผลของการศึกษาและการปฏิบัติของข้าพเจ้าเป็นที่น่าพอใจแล้ว ก็ได้เริ่มแนะนำสั่งสอนศิษย์ที่เป็นพระภิกษุ สามเณร ตลอดถึงญาติโยมชาวบ้าน ให้มีโอกาสเวลาได้ประพฤติปฏิบัติธรรมะ ทั้งสมถกัมมัฏฐาน และวิปัสสนากัมมัฏฐาน ได้เริ่มสอนควบคู่กันไป

          ถ้าชั่วโมงปฏิบัติมีน้อย ก็จะสอนสมถกัมมัฏฐานก่อนแล้วค่อยสอนวิปัสสนาต่อภายหลัง แต่ถ้าชั่วโมงปฏิบัติมีมาก จะสอนวิปัสสนาก่อน แล้วค่อยสอนสมถกัมมัฏฐานต่อภายหลัง

          ในด้านสมถกัมมัฏฐาน ก็จะสอนจะฝึกให้ชำนาญในวสีทั้ง ๕ จนสามารถเข้าสมาธิได้ ๑ ชั่วโมง ๒ ชั่วโมง ๓ ชั่วโมง ๖ ชั่วโมง ๑๒ ชั่วโมง ๒๔ ชั่วโมง และ ๓๐ ชั่วโมง จะได้มากได้น้อย ขึ้นอยู่ที่บุญบารมีของผู้ปฏิบัติ

          ในด้านอภิญญาจิต ก็ได้สอนทิพพโสตอภิญญา ทิพพจักขุอภิญญา ปรจิตตอภิญญา ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ และจุตูปปาตญาณ เป็นต้น

          ในเรื่องอภิญญานี้ ก็ได้พิจารณาเลือกสอนเป็นรายๆไป ไม่ได้สอนทั่วไปทั้งหมด เมื่อพิจารณาดูรู้ว่าผู้นี้ได้เคยบำเพ็ญบารมีมา สามารถยังอภิญญาจิตให้เกิดขึ้นได้ จึงสอน

          เมื่อสอนเรื่องอภิญญาจิตแล้ว ก็พิจารณาดูอีกว่า เรื่องอภิญญาจิตนี้ เป็นเรื่องลี้ลับ เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก บุคคลธรรมดาทั่วไปไม่สามารถรู้ได้ หากเอามาสาธิตให้คนอื่นชมคนอื่นดู ก็ไม่สามารถหรือยากที่จะรู้ตามเห็นตามได้ ไม่มีคนเขาเชื่อถือ ซ้ำจะหาว่าเป็นเรื่องเพ้อฝัน หลอกลวงชาวโลก เป็นเรื่องโกหก ไร้สาระ อวดอุตตริมนุสสธรรม

          ข้าพเจ้าจึงหันมาฝึกวิธีที่ง่าย คือให้คนหนึ่งนั่งหลับตา เอาผ้าขาวม้าพับ ๕-๖ ชั้นปิดตา แล้วนั่งสมาธิอ่านหนังสือให้ดูให้ชม หรือให้ผู้ใดผู้หนึ่งมานั่งข้างหน้า หรือหาสิ่งของ เช่น แจกัน เป็นต้น มาวางไว้ข้างหน้าให้ดู แล้วเพ่งดู จะเห็นและบอกถูกต้องทุกอย่าง

          การฝึกวิธีนี้ ก็ไม่ยากจนเกินไป หากผู้ใดได้เคยบำเพ็ญบารมีมาก็ฝึกได้เร็ว แต่ถ้าหากไม่เคยได้บำเพ็ญบารมีมา แม้จะฝึกเป็นปีๆ ก็ไม่สำเร็จ เหตุนั้น ก่อนฝึกเราต้องพิจารณาดูก่อนว่า เขาจะฝึกได้หรือไม่ได้

          การที่ฝึกและมีการสาธิตเช่นนี้ ก็เพื่อปลูกศรัทธาของผู้ปฏิบัติ หรือผู้อยากปฏิบัติ ทั้งเป็นการทรมานคนที่มีทิฏฐิมานะ เป็นกุศโลบายของการสอนอีกแผนกหนึ่ง

          ครั้นต่อมา ได้สังเกตได้พิจารณาดู ผู้ที่ได้รับการฝึกอภิญญาจิต หากยังผ่านมัคคญาณผลญาณไม่ได้ จะทำให้เกิดทิฏฐิมานะ เอาไปใช้ในทางที่ผิดต่อคำสอน ผิดต่อพระธรรมวินัย เป็นต้น เหตุนั้น นับตั้งแต่บัดนั้นมา จึงไม่รับฝึกรับสอนให้ จนถึงบัดนี้ (๑๒ ก.ย. ๒๕๔๐)

          อนึ่ง พ.ศ.๒๕๑๕ นั้นเอง ข้าพเจ้าได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นตรี ข้าพเจ้าได้กล่าวคำปฏิญาณตน ท่ามกลางครูอาจารย์ พระภิกษุ สามเณร และญาติโยม ที่มาแสดงมุทิตาจิตเป็นจำนวนมาก โดยมีพระเดชพระคุณ หลวงพ่อพระครูเขมราฐเมธี เจ้าคณะอำเภอเขมราฐในขณะนั้น เป็นประธาน

          ข้าพเจ้าได้กล่าวคำปฏิญาณตนว่า นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ข้าพเจ้าขอมอบกายถวายชีวิตอยู่ในเพศพรหมจรรย์ จะไม่ลาสิกขาตลอดชีวิต ด้วยเหตุ ๔ ประการ คือ

          ๑.    เพื่อช่วยสืบอายุพระพุทธศาสนา เท่าที่จะทำได้

          ๒.    เพื่อบำเพ็ญบารมีให้ยิ่งๆ ขึ้นไป

          ๓.    เพื่อตอบสนองอุปการคุณของบิดามารดาและญาติโยมที่ให้ความอุปการะ

          ๔.     เพื่อช่วยแบ่งเบาภารธุระของครูอุปัชฌาย์อาจารย์ ในการบริหารงานพระศาสนา เต็มความสามารถ ตามอำนาจหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย เท่าที่สามารถจะทำได้

          วันที่ ๑๑ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๑๙ อาพาธเป็นไข้ไทฟอยด์อย่างหนัก เข้าโรงพยาบาลเขมราฐ หมอพิสูจน์โรคไม่ถูก ตัดสินว่าข้าพเจ้าเป็นไข้มาลาเรีย จัดการเข้าน้ำเกลือและฉีดยาควินินซัลเฟตลงในน้ำเกลือ เมื่อเข้าน้ำเกลือ น้ำเกลือไม่ไหล เพราะโลหิตแข็งตัวอุดตัน ตัวข้าพเจ้าดำคล้ำเหมือนถูกไฟไหม้ ข้าพเจ้าได้ขอร้องหมอให้ยกน้ำเกลือขึ้นสูงๆ และเปิดน้ำเกลือไว้ให้เต็ม แช่ไว้อย่างนั้นแหละ จะไหลหรือไม่ไหลช่างมัน แช่ไว้ประมาณ ๑๕ นาที โลหิตละลาย น้ำเกลือเริ่มไหล

          เมื่อเข้าน้ำเกลือเสร็จ ถอดเข็ม เหมือนดังว่าข้าพเจ้าอยู่คนละโลก ประสาททุกส่วนดับหมด เสียงก็ไม่ได้ยิน แต่ใจยังพอมีความรู้สึกอยู่หน่อยหนึ่ง จึงพิจารณาว่า วันสุดท้ายของการปฏิบัติวิปัสสนา ได้พิจารณาถึงอายุสังขารว่า จะอยู่ได้เท่านั้นปีเท่านี้ปี แต่บัดนี้ทำไมหนอ จึงจะมามรณภาพกลางคัน

          พิจารณากลับไปกลับมา ก็ทราบว่า ยังไม่ตาย แต่ถ้าขืนอยู่ที่นี้ต่อไปอีก จะตาย เพราะหมอให้ยาไม่ถูกกับโรค

          ในช่วงนั้น ข้าพเจ้าเหมือนสุนัขบ้า ลุกได้ นั่งได้ ยืนได้ เดินได้ ขึ้นบันไดได้ ลงบันไดได้ ซึ่งเมื่อก่อนนี้นอนอยู่กับที่ จะลุกก็ต้องพยุง แต่บัดนี้ พูดเก่ง ข้าพเจ้ารู้ตัวเองว่าไข้ขึ้นสูงจนถึงกับเป็นบ้า

          จึงบอกโยมที่ติดตามว่า หลวงพ่อจะกลับ ใครอยากอยู่ก็อยู่ แต่หลวงพ่อจะกลับ พูดจบก็ลุกขึ้นเดินไปหารถ ขึ้นรถสั่งให้โชเฟอร์ออกรถพากลับ คนที่ติดตามต่างพากันวิ่งขึ้นรถ

          ตลอดทาง ข้าพเจ้าพูดคนเดียว พวกญาติและโยมชาวบ้านเข้าใจว่า ข้าพเจ้าหายแล้ว ต่างก็พากันกลับหมด เมื่อโยมกลับหมดแล้ว จึงใช้ให้สามเณรที่อุปัฏฐาก ไปตามหมอประจำมาบอกว่า คุณหมอ ขณะนี้ไข้มันขึ้นสูงถึงที่แล้วนะ จะจัดการอย่างไรก็จัดการ

          คุณหมอตอบว่า ไม่เป็นไรดอกหลวงพ่อ ตายก็ตายวันนี้ละ ถ้าพ้นวันนี้ไปไม่ตายดอก หมอฉีดยาให้ ประมาณ ๓๐ นาที เกิดช็อคไป(ตายคืน) รู้สึกตัวขึ้นมาไม่ถึง ๑๐ นาที ก็ช็อคไปอีก รู้สึกตัวขึ้นมา ได้พูดกับลูกศิษย์ทั้งหลายว่า ตอนนี้ ถ้าลูกศิษย์ลูกหาที่อยู่ในถิ่นต่างๆ คิดถึงเรา ต่างคงจะพากันฝันถึงเรา

          ในขณะเดียวกันนั้น ก็ได้พูดกับหมอว่า คุณหมอ หัวใจมันหยุดทำงานไปสองครั้งแล้วนะ พูดจบ หมอยื่นมือมาจับชีพจรพร้อมกับพูดว่า หัวใจหยุดเต้น พอดีกับวินาทีที่ข้าพเจ้าขาดความรู้สึกไป

          รู้สึกตัวขึ้นมา คุณหมอฉีดยากระตุ้นหัวใจเสร็จพอดี แต่ข้าพเจ้าหมดกำลังแล้ว จะพลิกตัว จะเคลื่อนไหว จะพูดไม่ได้ เพราะหัวใจมันจะหยุดทำงาน มันจะชัก มีแต่นอนลืมตาอยู่เฉยๆ แต่ภูมิใจดีใจว่า ธรรมะที่ได้ปฏิบัติมาได้ประโยชน์ตอนนี้

          เพราะว่าตอนนี้ หากเรามีความหวั่นใจ กลัวตาย ห่วงนั้นห่วงนี้ พะวงหน้าพะวงหลัง เราคงไม่ฟื้นแน่ คงตายไปเลย และในขณะนั้นก็รู้ว่า แม่ตาย คนนั้นตาย คนนี้ตาย เพราะมันเป็นอย่างนี้เอง หากเราไม่ได้ประสบด้วยตนเอง คงไม่รู้

          เวลา ๒๔ นาฬิกาเศษ เกิดช็อค(ตาย)ไปอีก ๒ ครั้ง รู้สึกตัวขึ้นมา หมดสภาพ มีแต่นอนลืมตาดูเฉยๆ กระดุกกระดิกและพูดไม่ได้แล้ว

          พอถึงตอนเช้า ๖ นาฬิกาเศษ เกิดชักอย่างแรง ข้าพเจ้าคิดว่า โอ้..มันม้าง (ทำลาย) ขันธ์ทั้ง ๕ แล้วหรือนี่ ขันธ์ ๕ มันจะแตกดับแล้วหรือนี่ แต่ใจเฉยๆ ไม่หวั่นไหว ใจเป็นปกติดี

          ในช่วงร่างกายหมดสภาพ สงบแน่นิ่งอยู่กับที่ ๖-๗ วัน มีแต่ดอกไม้ ธูปเทียน เครื่องสักการะ ที่ลูกศิษย์ลูกหาและญาติโยมมาขอขมาโทษ มาขอบุญขอคุณ เพราะต่างคนก็คงคิดว่าข้าพเจ้าคงถึงคราวมรณภาพแล้ว หลังหายจากอาการไข้แล้ว ต้องพักฟื้นอยู่เป็นเดือน

          พ.ศ.๒๕๒๒ ตอนเช้า ข้าพเจ้าเอาเตาฟู่น้ำมันก๊าซ ซึ่งเติมน้ำมันเต็มพอดี มาจุดเพื่อจะต้มน้ำร้อน ชงโอวัลตินดื่ม เพื่อจะให้ทันรถประจำหมู่บ้านเข้าเขมราฐ เพราะรถจะออกก่อนฉันเช้า

          พอดีกำลังนั่งดูกาต้มน้ำ ซึ่งกำลังจะเดือด เตาฟู่เกิดระเบิดขึ้นอย่างแรง ไฟลุกท่วมกุฏิที่อยู่ ข้าพเจ้านั่งอยู่กลางเพลิง แต่ไม่ร้อน จึงคิดว่า เอ๊อ ไฟนี้มันก็ยังรักเราอยู่หนอ

          ในขณะเดียวกันนั้น พระภิกษุ สามเณร แม่ชี ที่มีอยู่ในวัด ได้ยินเสียงระเบิดของเตาฟู่ และเห็นเปลวเพลิงกำลังลุกช่วงโชติอยู่ ต่างก็วิ่งมาจุดเดียวกัน ต่างคนต่างก็เอาน้ำสาด ซึ่งขณะนั้น ข้าพเจ้ายังนั่งเฉยกลางเปลวเพลิง จึงบอกว่า อย่าเอาน้ำสาด เพราะน้ำมันมันฟูมันลอย จะทำให้ไฟลุกแรงเพิ่มขึ้นอีก ให้เอาดินสาดใส่ พูดจบ ต่างคนก็ต่างเอาดินสาดเข้าใส่ไฟ

          ข้าพเจ้าทนดินที่ถูกสาดใส่ไม่ไหว จึงลุกขึ้นเดินออกจากไฟ ซึ่งในขณะนั้น ไฟยังลุกท่วมตัวของข้าพเจ้าอยู่ ข้าพเจ้าจึงป้อมๆ ผ้าจีวรเข้าแล้วโยนไว้ใต้โต๊ะรับแขก ซึ่งไฟยังลุกอยู่ ยังไม่ดับ

          เมื่อไฟดับหมดแล้ว ข้าพเจ้าจึงให้สามเณรเอาจีวรมาคลี่ดูว่า ไฟไหม้ไหม สามเณรประมาณ ๔ – ๕ รูป ตอบขึ้นพร้อมกันว่า ไม่ไหม้ครับ หลวงพ่อ

          ช่วยกันมาดูผม ดูขนคิ้ว ดูขนตา ดูตามแขน ดูตามร่างกายซิว่า ไฟไหม้ไหม

          ไม่ไหม้ครับหลวงพ่อ ตอบขึ้นพร้อมกัน

          โอ้ ไฟมันไม่มีหัวจิตหัวใจ มันก็ยังรู้จักรักเราอยู่ หลวงพ่อพูด

          วันนั้น ข้าพเจ้างด ไม่เข้าเขมราฐ ร่างกายยังปกติดี ทุกส่วน ไม่พอง และไม่ถูกไฟไหม้ เย็นชุ่มฉ่ำอยู่ทั้งวัน ในขณะเตาฟู่ระเบิดเกิดไฟไหม้ ข้าพเจ้าเฉยๆ ไม่ตกใจ ไม่กลัว เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

          เรื่องเช่นนี้ สุดวิสัยที่คนธรรมดาจะรู้ได้เดาได้ว่า มันเป็นเพราะเหตุไร แต่ข้าพเจ้ารู้ว่า อันนี้เป็นอานิสงส์ของการเจริญเมตตา และพลังจิตที่มั่นคง หนักแน่นไม่หวั่นไหว

          วันที่ ๑๐ เดือนธันวาคม พ.ศ.๒๕๓๑ เส้นโลหิตในโพรงจมูกแตกอย่างแรง วันนั้น หลังจากทำวัตรค่ำแล้ว พวกเด็กๆ พากันมาลงวัด ทำวัตร สวดสรภัญญะ

          ข้าพเจ้าได้พูดกับเด็กๆ ว่า ใครมาลงวัดวันนี้ ให้ลงชื่อในสมุดเยี่ยมไว้ทุกคน ข้าพเจ้าได้หยิบสมุดมาให้ ๒ เล่ม พวกเด็กๆ ก็พากันลงชื่อในสมุดเยี่ยม ในขณะเดียวกัน ข้าพเจ้าคิดอยากดื่มเป๊ปซี่ จึงบอกสามเณรว่า น้อย หลวงพ่ออยากดื่มเป๊ปซี่ เอามาให้ดื่มหน่อยซิ ให้เอาธรรมดา ไม่ต้องแช่เย็น พอดื่มเข้าไป เส้นโลหิตในโพรงจมูกโป่งออก และแตก

          หมอสถานีอนามัยประจำหมู่บ้าน พากันจัดการปฐมพยาบาลจนหมดความสามารถ โลหิตก็ยังไม่หยุดไหล วัดความดันไม่มี ลูกศิษย์ทั้งหลายจึงช่วยกันหามขึ้นรถ ไปโรงพยาบาลเขมราฐ หมอจัดการเอาสำลีชุบน้ำยา อุดจมูกทั้งสองไว้ โลหิตหยุดไหล แต่หารู้ไม่ว่า โลหิตมันกลับไหลลงไปในกระเพาะและลำไส้

          เวลาประมาณตี ๑ ถึงตี ๒ โลหิตมันเน่า เกิดเจ็บท้องอย่างหนัก ช็อค(ตาย)ไป ๒ ครั้ง พอฟื้นขึ้นมา ระบบขับถ่าย ได้ถ่ายโลหิตออกมาจนหมด ร่างกายเข้าสู่สภาพปกติ

          การช็อคครั้งนี้ ข้าพเจ้ามีใจไม่หวั่นไหว ไม่กลัวตาย ฯลฯ กลับภูมิใจดีใจว่า ถ้าเราไม่ได้ประสพด้วยตนเอง ก็จะไม่รู้อย่างนี้ ที่หลวงปู่รูปนั้นรูปนี้ท่านเข้าห้องน้ำ แล้วไปช็อค ไปมรณะในห้องน้ำ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง เพราะนักปฏิบัติจะมีใจเข้มแข็ง ไม่หวั่นไหว แต่ร่างกายหมดสภาพ ทานไว้ไม่ได้ จึงเป็นเช่นนั้น

          ข้าพเจ้าได้เขียนประวัติมา เพื่อสนองเจตนารมณ์ ในที่ประชุมของศิษยานุศิษย์ทั้งหลาย โดยสังเขปกถา คิดว่าพอเป็นทิฏฐานุคติเครื่องเตือนใจ ไม่มากก็น้อย

          ก่อนจบ ก็ขอฝากข้อคิดไว้บางสิ่งบางประการ เราเกิดมาและได้มีศรัทธา มีโอกาสมาบวชในพระศาสนา ขออย่าได้ประมาท เอาใจใส่ในการฝึก การฝน การอบ การรม ตนให้ดี ให้คล่องแคล่วชำนาญ เพื่อจะได้มีกำลังใจต่อต้านกับอารมณ์ดี อารมณ์ชั่ว อันจะเกิดขึ้นกับการดำเนินวิถีชีวิต

การฝึกนั้นมี อย่าง คือ

          ๑. ฝึกด้วยบุพพภาคมรรค ได้แก่ การลงมือปฏิบัติ ทั้งในส่วนที่เป็นศีลและสมาธิ ตลอดถึงสมถภาวนา และวิปัสสนาภาวนา และข้อปฏิบัติอันสมควรอื่นๆ ที่เกี่ยวกับการดำเนินวิถีชีวิต

          ๒. ฝึกด้วยอำนาจอริยมรรค ได้แก่ การเจริญวิปัสสนากัมมัฏฐาน จนได้บรรลุมรรค ผล นิพพาน

          การฝึกช้าง ฝึกม้า ก็เพื่อว่าจะให้มันชำนิชำนาญ แล้วจะได้นำมาใช้งาน เช่น ใช้ลากซุง ใช้เป็นม้าแข่ง ใช้ในราชการสงคราม ฉันใด เราฝึกตัวของเรา ด้วยการให้ทาน รักษาศีล ไหว้พระ สวดมนต์ เจริญพระกัมมัฏฐาน เป็นต้น ให้ชำนาญ ก็เพื่อให้บรรลุสุขอันไพบูลย์ตามประสงค์ ฉันนั้น

          เราฝนมีด ฝนพร้า ฝนขวาน ก็เพื่อต้องการให้มันหมดสนิม ให้มันคมดี เมื่อใด ขวานพร้าหรือมีด มันหมดสนิม มันคมดีแล้ว เราก็สามารถเอาไปตัดนั้นฟันนี้ได้ตามประสงค์ ฉันใด เราฝนตา ฝนหู ฝนจมูก ฝนลิ้น ฝนกาย ฝนใจ ด้วยสติปัญญา ก็เพื่อว่าจะให้มันหมดสนิม ให้มันคมดี เมื่อใด มันหมดสนิม มันคมดีแล้ว เราก็สามารถใช้ตัดกิเลสตัณหา ตามที่ตนปรารถนา ก็ฉันนั้นเหมือนกัน

          เราอบผ้า เพื่อให้กลิ่นหอมจับ ฉันใด เราอบกาย วาจา ใจ ด้วยวิปัสสนากัมมัฏฐาน ก็เพื่อให้กลิ่นศีล กลิ่นสมาธิ กลิ่นปัญญาจับ ฉันนั้น

          เรารมตัวเราด้วยควันไฟ หรือความร้อนของไฟ ก็เพื่อให้ควันไฟหรือไออุ่นไอร้อน เป็นต้น เกลือกกลั้ว หรือติดอยู่ ฉันใด เรารมตา หู จมูก ลิ้น กาย ด้วยสติปัญญา ก็เพื่อให้เกลือกกลั้วด้วยมรรค ผล นิพพาน เพื่อให้เกาะ ให้ติดอยู่กับโลกุตรธรรม ก็ฉันนั้น

          สรุป เขาจะนำสัตว์มาใช้งาน มาเล่นละคร เขาก็จะต้องฝึกเสียก่อน จึงจะได้ประโยชน์ ทหารจะเข้าสู่สนามรบ ก็จะต้องฝึกให้ชำนาญในยุทธวิธี จึงจะสามารถเอาชนะข้าศึกได้

          เรามีกายมีใจ คนเรา ตั้งแต่เท้าถึงศีรษะ ตั้งแต่ศีรษะถึงเท้า มีกายกับใจเท่านั้น ถ้าเราตั้งใจไว้ผิด การคิด การทำ การพูด ก็ผิด เมื่อคิดผิด ทำผิด พูดคิด เราเองก็เดือดร้อน คนอื่นก็เดือดร้อน

          แต่ถ้าเราตั้งใจไว้ถูก การคิด การทำ การพูด ก็ถูก เมื่อคิดถูก ทำถูก พูดถูก ผลที่ได้รับ เราเองก็มีความสุข คนอื่นก็มีความสุข อนึ่ง เกิดเป็นคน ขอให้ทำตนเหมือนแผ่นดิน ถึงจะอยู่เป็นสุข ไม่เดือดร้อน.

ปณิธานหลวงพ่อ

        ปีพุทธศักราช ๒๕๑๔ ข้าพเจ้าได้ตั้งปณิธานต่อหน้าพระสงฆ์สามเณรและญาติโยมทั้งหลาย โดยมีพระเดชพระคุณหลวงพ่อเจ้าคุณพระสีลวิสุทธาจารย์ (พระครูเขมราฐเมธี เจ้าคณะอำเภอเขมราฐ ในขณะนั้น) เป็นประธานสักขีพยาน ว่า

        จะขอบวชอุทิศตน เพื่อจะรับใช้พระพุทธศาสนาและครูบาอาจารย์ จนสุดความสามารถ ตราบชั่วชีวิตจะหาไม่

        นับแต่นั้นเป็นต้นมา ข้าพเจ้าก็ได้ทำงานพระศาสนา ทั้งด้านปริยัติและด้านปฏิบัติควบคู่กัน

        ด้านปฏิบัติ ได้สอนทั้งสมถะและวิปัสสนา จนได้รับผลเป็นที่น่าพอใจ จะเห็นได้จากมีพระภิกษุ สามเณร ตลอดทั้งญาติโยมทั่วทุกสารทิศหลั่งไหลกันมาปฏิบัติเป็นจำนวนเพิ่มมากขึ้นทุกปี จนทางราชการคณะสงฆ์ได้ยกให้เป็นสำนักปฏิบัติธรรมประจำอำเภอเขมราฐ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๒ เป็นที่เชิดหน้าชูตาและเป็นสถานที่พักพิงทางด้านจิตใจของชาวเขมราฐทุกคน

          ด้านปริยัติเล่า ขั้นแรกข้าพเจ้าได้เอาใจใส่ในการสอนนักธรรม ธรรมศึกษาทั้งชั้นตรี โท เอก ก็มีนักเรียนสอบได้เป็นจำนวนมากขึ้นตามลำดับ จนถือได้ว่าประสบผลสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ แต่ยังไม่สมกับปณิธานที่ข้าพเจ้าได้ตั้งเอาไว้ต่อหน้าปวงชน

          ฉะนั้น จึงได้เริ่มเปิดสอนพระปริยัติธรรมแผนกบาลีขึ้นเมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๘ ปรากฏว่ามีนักเรียนสอบไล่ในสนามหลวงได้เป็นจำนวนมาก

          กระทั่งปี พ.ศ.๒๕๔๒ พระมหาชินพัฒน์ จกฺกเมธี ก็สามารถสอบได้เปรียญธรรม ๙ ประโยคเป็นรูปแรก

          และในปี พ.ศ.๒๕๔๓ สามเณรชาคริต บำเพ็ญ ก็สามารถสอบได้เปรียญธรรม ๙ ประโยค ขณะเป็นสามเณรเป็นรูปแรกของสำนักเช่นกัน

          ดังผลงานที่เห็นประจักษ์ ทางคณะสงฆ์จึงได้ยกย่อง

          ให้เป็น สำนักเรียนบาลีดีเด่นประจำจังหวัดอุบลราชธานี ในปี พ.ศ.๒๕๓๓

          ให้เป็น สำนักเรียนบาลีดีเด่นของคณะสงฆ์ภาค ๑๐ ในปี พ.ศ.๒๕๓๙(คณะสงฆ์ภาค ๑๐ ประกอบด้วย ๖ จังหวัด คือ อุบลราชธานี, ศรีสะเกษ, อำนาจเจริญ, นครพนม, ยโสธร, มุกดาหาร)

          และให้เป็น สำนักเรียนแผนกบาลีประจำจังหวัดอุบลราชธานี ในปี พ.ศ.๒๕๔๒

          นอกจากนี้ ก็ได้มีพระภิกษุ สามเณรไปศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจนสำเร็จการศึกษาจำนวนมาก

          นับได้ว่า ข้าพเจ้าได้อุทิศตนสนองงานครูบาอาจารย์ และญาติโยม ตามปณิธานที่ตั้งไว้ แม้ไม่ได้รับผลมากที่สุด แต่ก็ได้ทำงานจนสุดความสามารถ มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ดังปรากฏอยู่แล้วนั้น

          จึงขอกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ หลวงปู่ หลวงตา ลูกพระ ลูกเณร และขอเจริญพรอนุโมทนาญาติโยมทุกท่าน ที่ส่งเสริมและถวายความอุปถัมภ์ให้ปณิธานของข้าพเจ้าสำเร็จด้วยดีตลอดมา

          สุดท้ายนี้ ขอฝากความหวังไว้กับบรรดาลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลาย ให้ช่วยจรรโลงส่งเสริมพระพุทธศาสนา มีปณิธานแน่วแน่ ถึงแม้จะตายในชั่วโมงนี้ ในนาทีนี้ ในวินาทีนี้ ก็จะไม่ยอมทอดทิ้งพระพุทธศาสนา ตามที่หลวงพ่อได้นำพาจนถึงบัดนี้ ถ้าทำได้ดียิ่งกว่าหลวงพ่อหลวงพ่อจะภูมิใจมาก

          อนึ่ง วันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๕๒ คณะศิษยานุศิษย์ได้ประชุมตกลงกัน เรื่องงานเผยแผ่ภาคฤดูหนาว ซึ่งปีนี้มีทั้งหมด ๔๖ จุดๆ ละ ๙ คืน ๑๐ วัน

          พร้อมกันนี้ คณะศิษย์ในที่ประชุมทั้งปวง ได้มีกุศลฉันทะ ร่วมกันดำเนินการจัดให้มีการพิมพ์หนังสือ วิปัสสนากรรมฐาน เพื่อเผยแผ่ให้เกิดประโยชน์แก่พระศาสนาและชาวโลก อย่างกว้างขวางต่อไป หลวงพ่อขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของท่านทั้งหลาย             ขอความสุขสวัสดีและบุญกุศล ทั้งที่เป็นโลกิยะ และโลกุตตระ จงบังเกิดมีแด่ท่านผู้อ่าน ผู้จัดทำ ผู้บริจาคปัจจัยร่วมสร้างหนังสือ ด้วยกัน จงทุกท่านเทอญ.