การระลึกที่ยอดเยี่ยม
พระภาวนาสุตาภิรัต (ชอบ พุทฺธสโร)
(๓ มกราคม ๒๕๖๕)
การที่เรามานั่งภาวนารวมกันทุกวันๆ หลังจากที่เราทำวัตร การทำวัตรเช้าก็ดี การทำวัตรเย็นก็ดี ก็ถือว่าเป็นการเจริญพุทธานุสติ เป็นการเจริญธรรมานุสติ เป็นการเจริญสังฆานุสติ
คือในขณะที่เราได้เข้ามาในพระพุทธศาสนา สิ่งที่เราจะต้องระลึกถึงเป็นเบื้องต้นนั้นก็คือพระพุทธเจ้า พระธรรม แล้วก็พระสงฆ์ พุทธานุสติก็คือการระลึกนึกถึงพุทธเจ้า ธรรมานุสติก็คือการระลึกนึกถึงพระธรรม สังฆานุสติก็คือการระลึกนึกถึงพระสงฆ์
การระลึกนึกถึงสิ่งใดๆ ในโลก เรานึกถึงครูบาอาจารย์ก็ดี นึกถึงสามี นึกถึงภรรยา นึกถึงทรัพย์สมบัติ นึกถึงอำนาจที่เราเคยเป็นใหญ่ต่างๆ การนึกถึงสามี นึกถึงภรรยา นึกถึงหน้าที่การงานต่างๆ นั้น ไม่ได้ก่อเกิดอานิสงส์ ไม่เป็นไปเพื่อมนุษย์สมบัติ ไม่เป็นไปเพื่อสวรรค์สมบัติ ไม่เป็นไปเพื่อพรหมสมบัติ ไม่เป็นไปเพื่อนิพพานสมบัติ แต่ถ้าเรานึกถึงพระพุทธเจ้า นึกถึงพระธรรม นึกถึงพระสงฆ์ แล้วก็ตายไปด้วยการระลึกนึกถึงพุทธานุสติ ธรรมานุสติสังฆานุสติ อย่างนี้เนี่ย ท่านกล่าวว่าเป็นการระลึกอย่างสูงสุด ทำให้บุคคลผู้ระลึกนั้นเข้าถึงมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ พรหมสมบัติ ตลอดถึงนิพพานสมบัติได้
สมัยหนึ่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงเสด็จไปบิณฑบาต มีนกเค้าทำความเคารพในพระพุทธเจ้า โค้งหัวให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เสด็จไปบิณฑบาต องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก็ทรงตรัสว่า นกเค้าตัวนี้เนี่ย ในอนาคตกาลข้างหน้าจะได้สำเร็จเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง การเพียงระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้าแวบเดียวเท่านั้นเอง
หรือที่เราได้ฟังเป็นประจำ อย่างเช่น งูเหลือมฟังธรรม ค้างคาวฟังธรรม แม่ไก่ฟังธรรม ก็เหมือนกับการระลึกนึกถึงพระธรรมนะ ในลักษณะอย่างนี้ก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เราได้ไปเกิดในสวรรค์ อย่างเช่นที่ท่านกล่าวว่า ค้างคาวฟังธรรม ค้างคาวนั้นฟังพระสวดอภิธรรม เมื่อฟังพระสวดอภิธรรมแล้ว ตายจากชาติแห่งความเป็นค้างาวนั้นแหละ ไม่รู้จักอบายภูมิอยู่พุทธันดรหนึ่ง ตลอดพุทธันดรหนึ่งเนี่ย ไม่รู้จักอบายภูมิ คือค้างคาวนั้นก็จะไปเกิดในสวรรค์แล้วก็มาเกิดในมนุษย์แล้วไปเกิดในสวรรค์แล้วก็ไปเกิดในมนุษย์อย่างนั้นแหละพุทธันดรหนึ่ง พอถึงในสมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ก็มาเกิดเป็นสัทธิวิหาริกของพระสารีบุตร นี่การระลึกนึกถึงพระธรรมเนี่ยมันมีคุณอย่างนี้นะ
เพราะฉะนั้นเราทั้งหลายทั้งปวงจึงมีการทำวัตรเช้าทำวัตรเย็น อย่างน้อยๆ บุคคลผู้ที่เข้ามาบวชในพระพุทธศาสนาก็รู้แนวทางของตนเอง ไม่มัวเมา ไม่เลินเล่อ ไม่ประมาทในความเป็นอยู่ของสมณะ เพราะเราพิจารณาระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ อยู่เป็นประจำ เพราะฉะนั้นก็ขอให้เราทั้งหลายทั้งปวงได้พยายามมาทำวัตรเช้ามาทำวัตรเย็นร่วมกัน
นอกจากนั้น การมาทำวัตรเช้าวัตรเย็นนั้นก็ถือว่าเป็นการเจริญสมถะหมู่ คือกายของเรามันอยู่ร่วมกันเป็นจำนวนมาก แต่ใจของเรานั้นมีกรรมฐานเป็นเรือนใจ นี่กายของเราจะอยู่ด้วยกันเป็นหมู่ร้อยก็ดี หมู่พันก็ดี ก็ไม่ทำให้เราลำบาก ไม่ทำให้เรามีความอึดอัดเพราะอะไร เพราะว่าเราทั้งหลายทั้งปวงที่อยู่ร่วมกันเนี่ย ใจของเรานั้นมีกรรมฐานเป็นที่ยึด มีกรรมฐานเป็นที่ตั้ง มีกรรมฐานเป็นที่นำไป อย่างเช่นเรามานั่งภาวนาอยู่นี่แหละ เรานั่งอยู่ด้วยกันเป็นจำนวนมาก แต่ต่างรูปต่างบริกรรมของแต่ละรูปแต่ละท่าน แต่ละรูปแต่ละท่านแต่ละคนก็ได้สมาธิของตนๆ ได้วิปัสสนาของตนๆ ได้มรรคได้ผลของตนๆ เพราะฉะนั้น ถึงเราจะอยู่รวมกันเป็นจำนวนมาก แต่เราก็มีกรรมฐานเป็นเรือนใจของเรา เพราะฉะนั้นการอยู่ของเรานั้นจึงไม่ได้เป็นการคลุกคลีกัน ไม่เป็นการสร้างความลำบากให้เกิดแก่กันและกันแต่จะให้เกิดประโยชน์แก่กันและกัน
วัดพระเชตวันท่านกล่าวว่าเป็นวัดที่ใหญ่ที่สุดในสมัยนั้นนะในสมัยที่พระพุทธเจ้ายังมีชีวิตอยู่ เป็นวัดที่ใหญ่ที่สุด สามารถรองรับพระภิกษุได้เป็นจำนวนมาก เพราะฉะนั้นการอยู่ร่วมกันมากถึงขนาดนั้นเนี่ย ถ้าอยู่แล้วเกิดความคลุกคลี เกิดความไม่เกิด ประโยชน์ พระองค์ก็คงจะไม่ให้สร้างวัดพระเชตะวันขึ้นมา
เพราะฉะนั้น เราทั้งหลายทั้งปวงที่อยู่ร่วมกัน ก็ขอให้เราอยู่ให้เป็นเหมือนกับพระเชตวันที่อยู่ร่วมกันนั่นแหละ คนที่ไปอยู่ในพระเชตวันในสมัยนั้น จะเป็นพระก็ดี จะเป็นเณรก็ดี จะเป็นภิกษุณีก็ดี จะเป็นอุบาสกอุบาสิกาก็ดี ที่เข้าไปสู่พระพระเชตะวันนั้น มีความมุ่งหมายเป็นอันเดียวกัน คือมุ่งหมายเพื่อที่จะได้สมาธิสมาบัติ มุ่งหมายเพื่อที่จะได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน มุ่งหมายเพื่อที่จะได้บรรลุเป็นพระสกทาคามี มุ่งหมายเพื่อที่จะได้บรรลุเป็นพระอนาคามี มุ่งหมายเพื่อที่จะได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ เป็นต้น
บุคคลผู้ที่เข้าไปสู่วัดพระเชตวันมีความมุ่งหมายเป็นอันเดียวกัน เมื่อความมุ่งหมายเป็นอันเดียวกันแล้วเนี่ย ความคิดจึงเป็นอันเดียวกัน การกระทำทางกายจึงเป็นอันเดียวกัน การพูด การเจรจา การกล่าว การเอื้อนการเอ่ยวจีต่างๆ ก็เป็นไปในแนวเดียวกัน หรือว่าการคิดต่างๆ ก็ไปในแนวเดียวกัน เพราะฉะนั้น เราทั้งหลายทั้งปวงที่เข้ามาในพระพุทธศาสนาแล้วเนี่ย ก็ขอให้เรามีความมุ่งหมายเดียวกัน คือมุ่งหมายเพื่อที่จะให้เกิดฌานสมาบัติ เพื่อที่จะได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์
ทำไมเราจึงต้องมีความมุ่งหมายเพื่อที่จะได้ฌานสมาบัติ เพราะฌานสมาบัติ จะเป็นปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน เนี่ย มันเป็นสิ่งที่ล้ำค่า เป็นสิ่งที่มีอานิสงส์เป็นอเนกานิสังสา คือมีอานิสงส์มากมายสุดที่จะพรรณนา เพราะบุคคลผู้ที่ได้ฌาน จะเป็นปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน ก็ดี การได้ฌานลักษณะอย่างนี้เนี่ย มันเป็นธรรมอันยิ่งของมนุษย์นะ เป็นธรรมอันยิ่งยวดของมนุษย์ ถ้าไม่เป็นบุคคลผู้ยิ่งด้วยความเพียร ยิ่งด้วยความอดทน ไม่เป็นผู้ยิ่งด้วยบุญวาสนาบารมีแล้วเนี่ย ไม่สามารถที่จะได้ฌานได้นะ
ในโลกมนุษย์ของเราเนี่ย ประเทศไทยของเราเนี่ย มีพุทธศาสนาที่เจริญที่สุด นี่ถ้าเรานึกถึงตรงนี้เนี่ย เราจึงจะรู้ว่าเราเป็นผู้มีบุญนะ ฝรั่งมังค่าที่เขาอยู่ต่างประเทศ มีความบริบูรณ์สมบูรณ์ไปด้วยวัตถุต่างๆ เราคิดว่าเขาเป็นผู้มีบุญ แต่พอเรามาดูหลักธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว เราเป็นผู้ใกล้ชิดธรรมที่สุด ใกล้ชิดคำสอนของพระพุทธเจ้า มีโอกาสที่จะพิสูจน์ มีโอกาสที่จะรู้ มีโอกาสที่จะเข้าใจ มีโอกาสที่จะแทงตลอด มีโอกาสที่จะบรรลุธรรมมากกว่าฝรั่งมังค่าเหล่านั้น เพราะมีครูบาอาจารย์แนะนำพร่ำสอน มีวัดวาอารามเป็นที่ประพฤติปฏิบัติ มีบุคคลสัปปายะ มีอาหารสัปปายะ เป็นต้น ธรรมะต่างๆ ก็สัปปายะ
เพราะฉะนั้น เราทั้งหลายทั้งปวงนั้นจึงถือว่าเป็นผู้มีบุญนะ ถ้าเราพิจารณากลับไปกลับมา เราเนี่ยเกิดในถิ่นธุรกันดาร เกิดอยู่ในประเทศกำลังพัฒนาเนี่ย เราเป็นผู้มีบุญมากที่สุด มากกว่าคนในโลกนี้ เพราะเราอยู่ใกล้พระพุทธศาสนามากกว่าบุคคลเหล่านั้น
เมื่อเราเป็นผู้มีบุญได้เกิดมาใกล้ชิดกับพระพุทธศาสนามากกว่าคนเหล่านั้นแล้วเนี่ย เราควรที่จะไม่ปล่อยโอกาสปล่อยเวลาของเรานั้นให้ล่วงเลยโดยเปล่าประโยชน์ ถ้าเราปล่อยให้กาลเวลาล่วงเลยไปโดยเปล่าประโยชน์ เปล่าประโยชน์ในที่นี้ก็คือการที่เราเกิดมาแล้วเนี่ย เราไม่ได้ฌาน เราไม่สามารถเข้าสมาธิได้ เข้าผลสมาบัติได้ อะไรทำนองนี้ ถ้าเราเข้าสมาธิเข้าผลสมาบัติไม่ได้เนี่ย ก็เหมือนกับว่าเรานั้นเสียโอกาสเสียเวลาที่เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา
หรือเราไม่สามารถที่จะยังปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติฌาน จตุตถฌาน อย่างใดอย่างหนึ่งให้เกิดขึ้น ก็เหมือนกับว่าเรานั้นเสียโอกาสเสียเวลาที่เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา เราไม่สามารถยังการบรรลุเป็นพระโสดาบัน การบรรลุเป็นพระสกทาคามี การบรรลุเป็นพระอนาคามี หรือว่าบรรลุเป็นพระอรหันต์ อย่างใดอย่างหนึ่ง ให้เกิดขึ้นตามบุญวาสนาบารมีของตน ก็เหมือนกับว่าเรานั้นประมาทนะ ปล่อยการปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปโดยเปล่าประโยชน์ ทั้งทั้งที่เราเป็นบุคคลผู้โชคดีที่สุดในหมู่มนุษย์ที่มีอยู่ในโลกของเรา
ถ้าเรามองตามหลักธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น เราไม่ใช่เป็นคนขี้ริ้วขี้เหร่นะ เราเป็นผู้มีบุญมากพอสมควร ถ้าวันหนึ่งๆ เราคิดแต่การจะทำการงาน คิดที่จะไปโน้นคิดที่จะไปนี้ คิดจะบริหารอะไรที่จะได้เงินได้ทองได้รับความสะดวกสบาย ถ้าเรามีความคิดในลักษณะอย่างนี้เนี่ย จิตใจของเรามันจะฟุ้งซ่าน แต่ถ้าเราน้อมจิตเข้ามาสู่กาย ตั้งแต่พื้นเท้าถึงปลายผม จากปลายผมถึงพื้นเท้า ให้สติของเรามันอยู่ตรงนี้ แล้วมาพิจารณาสังขารร่างกายของเรามันเป็นของไม่เที่ยง เป็นอนิจจัง เป็นทุกขัง เป็นอนัตตา เราจะเดินไปไหนไปไหน เราจะพูดคุยกับพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ เราจะพูดคุยกับสหธรรมิก เราจะพูดคุยกับลูกศิษย์ลูกหา แต่ว่าจิตภายในเราต้องนึกอยู่เป็นประจำว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ตัวเราก็เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา บุคคลผู้ที่เราสนทนาอยู่ด้วยก็เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นี่ให้พิจารณาอยู่ในลักษณะอย่างนี้นะ ถ้าเราพิจารณาอยู่ในลักษณะอย่างนี้ ก็เหมือนกับว่าเรามีกรรมฐานอยู่ตลอดเวลา เราไม่ได้ปล่อยกรรมฐาน จิตใจของเราไม่ลิงโลดไปกับอารมณ์ต่างๆ มันมีกรรมฐานเป็นเรือนใจ ถ้าเรานึกอยู่อย่างนี้ พิจารณาอยู่อย่างนี้เนี่ย ก็เหมือนกับว่าเราปฏิบัติธรรมอยู่ตลอดเวลา ถ้าบุญวาสนาบารมีของเรามันจะเป็นไปเพื่อสมาธิมันก็จะเป็นไป ถ้าบารมีของเรามันจะเป็นไปด้วยอำนาจของวิปัสสนาญาณมันก็จะเป็นไป หรือว่าบารมีของเราจะถึงการบรรุเป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี หรืออรหันต์ มันก็จะเป็นไปตามบุญวาสนาบารมีของตนๆ
การที่เราอยู่ในพระพุทธศาสนา เราต้องน้อมนึกอยู่ตลอดเวลานะ เมื่อเราน้อมนึกอย่างนี้อยู่ตลอดเวลา จิตของเรามันก็จะเป็นจิตที่ห่างเหินจากบาปธรรมทั้งหลายทั้งปวง ห่างเหินจากอารมณ์ทั้งหลายทั้งปวง เมื่อจิตใจของเรามันห่างเหินจากสิ่งเหล่านี้ จิตใจของเรามันก็เป็นอิสระ มองเห็นสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวงตามความเป็นจริง เขาเรียกว่า ยถาภูตญาณทัสสนะได้เกิดขึ้นมา มันจะเกิดขึ้นมาเพราะจิตของเรานั้นมันวางเฉยก่อนนะ มันมีสติมีสัมปชัญญะสมบูรณ์ก่อนนะปัญญาญาณมันจึงเกิดขึ้นมา
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสว่า บุคคลใดที่จะเจริญสติปัฏฐาน คือกายานุปัสสนา เวทนานุปัสสนา จิตตานุปัสสนา ธรรมานุปัสสนา บุคคลนั้นต้องมีจิตใจเป็นกลางเสียก่อน ไม่เกิดความรัก ไม่เกิดความชัง ไม่เกิดความผูกพันใดๆ ทั้งสิ้น ให้จิตใจของเรามันเป็นกลางอยู่ตลอดเวลา ถ้าเราวางจิตใจของเราเป็น กลาง ไม่รัก ไม่ชอบ ไม่ชัง ในสภาวธรรมที่เกิดขึ้นมา เรียกว่าจิตใจของเรานั้นคู่ควรต่อการเจริญวิปัสสนากรรมฐานนะ แล้วเราก็ปรารภในการกำหนดให้เห็นรูปเห็นนามมันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ เสื่อมไป เรียกว่าเราเริ่มปรารภการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน
ถ้าเราพิจารณาอยู่ในลักษณะอย่างนี้ การอยู่ในพระพุทธศาสนาร่วมกันจำนวนมากก็จะทำให้ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างบำเพ็็ญ ต่างคนต่างปฏิบัติ ต่างคนต่างเข้าใจ ต่างคนต่างรู้แจ้ง ต่างคนต่างได้รับผลของการอยู่ในพระพุทธศาสนา นี่ถ้าเราอยู่ด้วยความมุ่งหมายในลักษณะอย่างนี้เนี่ย การอยู่ด้วยกันก็เพลินไป ส่วนทรัพย์สินจตุปัจจัยไทยธรรมต่างๆ นั้นเป็นแต่เพียงเครื่องหล่อเลี้ยงการบำเพ็ญบารมีของเราให้เป็นไป นี่เราไม่ได้มีความติดใจในทรัพย์สมบัติ เราไม่มีความพอใจในทรัพย์สมบัติ สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงแต่น้ำมันหล่อเลี้ยงให้รถมันวิ่งได้ ปัจจัยทั้งหลายทั้งปวงก็เป็นน้ำมันหล่อเลี้ยงให้ระบบต่างๆ ในวัดในวา ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอาหาร มันเป็นไปได้ แต่ความสำคัญของปัจจัยของเงินนั้นไม่มีเพราะอะไรเพราะจิตใจมันไม่ไปยึดในวัตถุสิ่งของเรานั้น เห็นแต่สิ่งของเหล่านั้นเหมือนกับน้ำมันที่ให้รถมันวิ่งได้ เป็นค่าอาหาร ค่าน้ำ ค่าไฟ เท่านั้นเอง ไม่มีความดีใจในเมื่อมีทรัพย์ ไม่มีความเสียใจในเมื่อทรัพย์มันหมดไปสิ้นไป เพียงแต่มีสติมีสัมปชัญญะในการบริหารใช้จ่ายทรัพย์เท่านั้นเอง
นี่ถ้าเรามีธรรมะเนี่ย พิจารณาสิ่งที่คนในโลกทั้งหลายทั้งปวงขวนขวาย เช่นเงินเช่นทองเช่นปัจจัยต่างๆ เขาเห็นว่าเป็นของมีค่ามีราคา มือใครยาวสาวได้สาวเอา เบียดเบียนกันเพื่อเอาทรัพย์สมบัติเหล่านั้นนะ แต่เราผู้ประพฤติปฏิบัติธรรมเนี่ยมองเห็นสิ่งเหล่านั้นเป็นสักแต่ว่าเครื่องดำเนินในการบำเพ็ญบารมีให้เกิดความสะดวกสบายเท่านั้นเอง เหมือนกับน้ำมันเติมรถเท่านั้นเอง
นี่ถ้าเราประพฤติปฏิบัติธรรมเนี่ย เราต้องมีความคิดอย่างนี้นะ ความคิดอย่างนี้มันคิดมาตั้งแต่โน้น ตั้งแต่บวชพรรษาแรก มันคิดมาอย่างนั้น เราบวชเข้ามาแล้วเราจะไม่ยินดีในทรัพย์สมบัติ ตั้งใจมาตั้งแต่โน้น ตั้งแต่วันบวชใหม่ๆ เพราะฉะนั้น เราทั้งหลายทั้งปวงผู้ที่บวชเข้ามาแล้ว เมื่อทรัพย์สมบัติเหล่านั้นที่ชาวโลกเขาคิดว่ามีค่า เพชรนิลจินดา สายสร้อย อะไรต่างๆ เพชรพลอย ชาวโลกเขาคิดว่ามันเป็นของมีค่า แต่เราผู้แสวงหาธรรมเนี่ย เราคิดว่าสิ่งเหล่านี้มันไม่มีค่า แล้วเราจะแสวงหาอะไร
ถ้าเราไม่ได้ธรรมะที่ยิ่งไปกว่านี้เราก็อาจจะหลงนะ หลงในทรัพย์สมบัติเหล่านี้นะ เมื่อเราหลงในทรัพย์สมบัติเหล่านี้เนี่ย ตายไปแล้วเราต้องไปสู่อบายภูมินะ อวํสิโร นะ ถ้าเราเป็นนักบวชไปยึดมั่นอยู่ในทรัพย์สมบัติ
แม้แต่พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านยังกล่าวนะ สมัยเป็นเณร ไปซื้อเลขห้าสิบสตางค์ ไปยินดีในการซื้อหวย ไปยินดีในการมีทรัพย์สมบัติ ห้าสิบสตางค์เท่านั้น ได้ไปซื้อเลข ท่านบอกว่าท่านนั่งสมาธิไป เหมือนกับว่าขาเนี่ยไปจุ่มอยู่ในนรกอยู่หลายชั่วโมงนะ พอรู้สึกตัวขึ้นมาแล้วนี่ ขามันยังร้อนอยู่นะ อันนี้เรียกว่าบาปมันจะเป็นในลักษณะนั้น แค่ยินดีเฉยๆ นะเนี่ย ถ้าเราไปยินดีกับสิ่งเหล่านี้เนี่ย เราตายไปก็ต้องไปเกิดในนรกแน่นอน เพราะฉะนั้น การที่เราจะไม่ยินดีกับสิ่งเหล่านี้ได้ เราก็ต้องประพฤติปฏิบัติธรรมนะ เราต้องเดินจงกรมให้หนัก เราต้องนั่งภาวนาให้หนัก เราต้องบำเพ็ญให้ยิ่งนะ อย่าคิดว่าออกพรรษาแล้วเราจะไม่ประพฤติปฏิบัติธรรม ไม่ใช่นะ นอกจากเวลาที่เราฉันอาหารเช้าฉันอาหารเพล นอกจากเวลาที่เรากวาดตาด นอกจากเวลาที่เราจะกระทำการงานอย่างอื่นแล้ว เราต้องประพฤติปฏิบัติธรรมอยู่ตลอดเวลานะ
นี่ถ้าเราจะอยู่ในเพศของนักบวชให้เกิดความสะดวกสบายนะ เพราะอะไร เพราะการประพฤติปฏิบัติธรรมอยู่ตลอดเวลานี่แหละ ทำให้จิตใจของเรามันเข้าสู่อารมณ์ของฌาน เข้าสู่อารมณ์ของผลสมาบัติอยู่ตลอดเวลา มันก็เป็นเหตุ เป็นปัจจัย เป็นที่เกิดแห่งปีติ เป็นที่เกิดแห่งปัสสัทธินะ จิตใจของเรามันก็สบายๆ อยู่กับสิ่งเหล่านั้นตลอดเวลา เราก็ไม่หมกมุ่นกับอารมณ์ที่อยากได้นู้นอยากได้นี้ การอยู่ในวัดของเรานี่เหมือนกับว่าอยู่ในสวรรค์นะ การอยู่ในวัดของเราเหมือนกับอยู่ในพรหมโลกนะ
นี่ถ้าเราทำได้ ถึงเราจะอยู่กระต๊อบ ถึงเราจะอยู่กุฏิที่มันไม่ค่อยจะสะดวกสบายมากนัก แต่การอยู่กุฏิก็ดี อยู่วิหารก็ดี อันนั้นเรียกว่าเป็นเครื่องอยู่ภายนอกนะ นักบวชนี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสเครื่องอยู่ภายในเนี่ยเป็นสิ่งสำคัญกว่าเครื่องอยู่ภายนอก กุฏินี่เป็นเครื่องอยู่ภายนอก วิหารเป็นเครื่องอยู่ภายนอก อะไรๆ ต่างๆ ที่เราปลูกเราสร้างมาเป็นเครื่องอยู่ภายนอก พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสเครื่องอยู่ภายนอกนั้นสำคัญยิ่งกว่าเครื่องอยู่ภายในนะ เครื่องอยู่ภายในก็คือสมาธิ เครื่องอยู่ภายในก็คือมรรคผลพระนิพพาน เป็นเครื่องอยู่ภายในนะ เพราะฉะนั้น เราทั้งหลายทั้งปวงต้องทำให้เกิด ถึงเราทำให้เกิดมาแล้ว แต่ว่าเรายังไม่สามารถทำให้ถึงที่สุด เราก็ต้องกระทำให้ถึงที่สุดนะ หรือว่าเรากระทำแล้วมันยังไม่ชำนิชำนาญ มันยังไม่เกิดวสี มันยังไม่เกิดคุณอะไรที่กว้างขวาง เราก็ต้องทำเรื่อยๆ ทำเนืองๆ ทำบ่อยๆ ทำซ้ำๆ มันก็จะเกิดธรรมะต่างๆ ขึ้นมา มันก็น่าอยู่ขึ้นมา การอยู่นั้นก็อยู่ด้วยกันเป็นพี่เป็นน้องกัน ไม่ได้อิจฉา ไม่ริษยากัน
คนที่มีจิตใจอิจฉามีจิตใจริษยาคนอื่น เห็นคนอื่นเขาทำดีก็อิจฉาเขา เห็นคนอื่นเขาได้ดีกว่าตนเองก็ทนอยู่ไม่ได้ คนประเภทเหล่านั้นคนปีติน้อย คนปัสสัทธิิน้อย คนมีธรรมะน้อย คนมีธรรมะมากนี่เห็นคนอื่นเขาได้ดีมีแต่อนุโมทนาเท่านั้น มีแต่ความอนุโมทนา มีแต่ความยินดี มีแต่ความปราโมทย์กับบุคคลที่เขาได้รับสิ่งที่ดีๆ ในชีวิตของเขา แต่บุคคลผู้มีจิตใจบกพร่อง มีจิตใจกำพร้าธรรม มีจิตใจกำพร้าปีติ มีจิตใจกำพร้าสมาธิ เวลาคนอื่นได้ดีก็อิจฉาริษยาเป็นต้น เห็นเขาได้ดีแล้วก็ทนอยู่ไม่ได้ บุคคลเหล่านี้เรียกว่าเป็นบุคคลผู้กำพร้าธรรม กำพร้าสมาธิ กำพร้าปีติ กำพร้ามรรค กำพร้าผล กำพร้าพระนิพพาน
เราทั้งหลายทั้งปวงผู้ที่ได้มาอยู่ในพระพุทธศาสนา เมื่อเราว่างจากการงานช่วยวัดช่วยวาแล้วนี่ เราควรที่จะรีบเร่งทำความเพียรนะ เราอย่าไปหวังความสุขอย่างอื่นนอกจากความสุขอันเกิดแล้วจากมรรคและผลนะ ที่เราอ่านดูในพระธรรมบทหรือในพระไตรปิฎกต่างๆ ภิกษุผู้ที่บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนาประพฤติปฏิบัติธรรมแล้วเนี่ย ยังกาลให้ล่วงไปด้วยสุขอันเกิดแล้วแต่มรรคแต่ผลนะ อันนี้มันเป็นธรรมที่สุดของพระพุทธศาสนาของเรานะ
หลังจากเรามาบวชมานานๆ แล้วเนี่ย เมื่อบวชนานๆ แล้วเนี่ย ท่านได้กล่าวว่า ให้เราประพฤติปฏิบัติธรรมให้ถึงมรรคถึงผลนะ เมื่อเราประพฤติปฏิบัติธรรมให้ถึงมรรคถึงผลแล้ว พุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสว่า ยังกาลเวลาให้ล่วงไปด้วยสุขอันเกิดแล้วแต่มรรคแต่ผล เวลามันล่วงไปด้วยอำนาจแห่งสุขที่มันเกิดขึ้นจากมรรคและผลก็เพลินไป ไม่ต้องรีบฆ่าตัวตาย ไม่ต้องรีบวิ่งให้รถชนตาย หรือว่าไม่ต้องไปกระโดดน้ำตาย บุคคลผู้มีจิตใจถึงมรรคถึงผล นับตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป จะไม่ทำอัตตวินิบาต จะไม่ฆ่าตัวตาย ถ้าบุคคลได้บรรลุเป็นพระโสดาบันแล้วเนี่ย จะไม่ฆ่าตัวตาย จะไม่ฆ่าคนอื่น จะไม่เบียดเบียนตน จะไม่เบียดเบียนคนอื่นนะ จะมีสติมีสัมปชัญญะ
เพราะฉะนั้น บุคคลผู้อยู่ในพระพุทธศาสนาของเรานั้น ควรยังกาลเวลาให้ล่วงไปด้วยสุขอันเกิดแล้วแต่มรรคแต่ผล ก็ขอให้เราทั้งหลายทั้งปวงได้พิจารณาว่า ทำอย่างไรสิ่งเหล่านั้นมันจะเกิดขึ้นมาในชีวิตของเรา ทำอย่างไรสิ่งเหล่านั้นจึงจะเกิดมาในพรหมจรรย์ของเรา.