ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ
พระภาวนาสุตาภิรัต (ชอบ พุทฺธสโร)
(๖ มกราคม ๒๕๖๕)
พระศาสนาของเรานั้นแบ่งออกเป็น ปริยัติธรรม ปฏิปัตติธรรม แล้วก็ปฏิเวธธรรม คือธรรมทั้ง ๓ ประการนี้ เรียกว่าเป็นพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรมก็คือสิ่งที่ทรงไว้ซึ่งลักษณะของตน ถ้าเราทำกรรมที่ไม่ดี ก็เรียกว่าอกุศลธรรม แต่ถ้าเราทำกรรมดี ก็จะชื่อว่ากุศลธรรม ผู้ใดทำสิ่งใดไว้มันก็ทรงไว้ซึ่งลักษณะอย่างนั้นแหละ คือให้ผลตามสิ่งที่ตนเองทำ เรียกว่าธรรม
เพราะฉะนั้น ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นพระองค์ทรงตรัสไว้ มีอยู่ ๓ ประการก็คือ
๑. ปริยัติธรรม
๒. ปฏิปัตติธรรม
๓. ปฏิเวธธรรม
ปริยัติธรรมก็คือการศึกษาเล่าเรียน นักธรรมชั้นตรีถึงนักธรรมชั้นเอก บาลีประโยค ๑-๒ ถึงประโยค ๙ หรือเราจะเรียนอภิธรรม จูฬตรี จูฬโท จูฬเอก มัชฌิมตรี มัชฌิมโท มัชฌิมเอก มหาตรี มหาโท มหาเอก จบเป็นอภิธรรมบัณฑิต หรือเราจะเรียนพระไตรปิฎก อ่านตำรับตำราค้นคว้าด้วยตนเอง ก็ถือว่าเป็นปริยัติธรรม หรือว่าในขณะที่เราฟังเทศน์ฟังธรรม เราฟังเพื่อเอาความรู้ เราฟังเพื่อเอาปริยัติ อันนี้ก็เป็นปริยัติธรรมเหมือนกัน นี่เรียกว่าเป็นปริยัติธรรม
เพราะฉะนั้น บุคคลผู้เรียนปริยัติธรรมเนี่ย ก็จัดว่าเป็นการเรียนรู้ธรรมในขั้นพื้นฐานนะ นี้เรียกว่าปริยัติธรรม การเรียนรู้จากการอ่านตำรับตำรา การเรียนรู้จากการฟังที่มีครูมีอาจารย์เป็นต้นได้สอนได้แสดงธรรม เรียกว่าปริยัติธรรม
ปริยัติธรรมนั้นเป็นสัญญา คือความจำได้หมายรู้ อันนี้เป็นลักษณะของปริยัติธรรม จะทรงไว้ด้วยสัญญา ความจำได้หมายรู้ซึ่งปริยัติที่ตนศึกษาเราเรียน
ส่วนประการที่ ๒ เรียกว่า ปฏิปัตติธรรม ปฏิปัตติ ก็แปลว่าการถึงเฉพาะ การถึงเฉพาะก็คือการกระทำให้ถึง การกระทำให้เห็น การกระทำให้เข้าใจ การกระทำให้ปรากฏ นี่เรียกว่าปฏิปัตติ การถึงเฉพาะ การถึงเฉพาะก็คือการประพฤติปฏิบัติธรรม คือถึงเฉพาะซึ่งรูป ถึงเฉพาะซึ่งนาม ถึงเฉพาะซึ่งพระไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ถึงเฉพาะซึ่งปัจจุบันธรรม เป็นต้น นี่เรียกว่าปฏิปัตติ คือการประพฤติปฏิบัติธรรม
การประพฤติปฏิบัติธรรม เรายืน เราเดิน เรานั่ง เรานอน เรามีสติปฏิบัติธรรม เรียกว่าเรายังกายวาจาใจให้ถึงเฉพาะซึ่งสติ ถึงเฉพาะซึ่งสมาธิ ถึงเฉพาะซึ่งวิปัสสนานะ เราจะคู้ เราจะเหยียด เราจะก้ม เราจะเงย เราจะกิน เราจะดื่ม เราจะพูด เราจะคิด เราจะทำกิจอะไรต่างๆ เรามีสติกำหนดอยู่อย่างนี้ เรียกว่าเรากำหนดเพื่อยังกายวาจาใจของเราให้ถึงเฉพาะซึ่งสติ ถึงเฉพาะซึ่งสมาธิ ถึงเฉพาะซึ่งวิปัสสนา เรียกว่าปฏิปัตติ
การประพฤติปฏิบัตินี้ก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เราศึกษาในพุทธศาสนาให้เข้าใจเหมือนกัน ขณะที่เราประพฤติปฏิบัติธรรม เราต้องเข้าใจด้วยอาการของผลของการปฏิบัติธรรม เช่นขณะที่ปฏิบัติไป เรากำหนดว่าอะไรเป็นรูปอะไรเป็นนาม ใจที่เรารู้เนี่ยมันเป็นนาม รูปที่เรากำหนดยกก็ดีย่างก็ดีนมันเป็นรูป ท้องพองมันก็เป็นรูป ใจที่รู้ท้องพองมันก็เป็นนาม มือของเราที่ยื่นออกไปมันก็เป็นรูป ใจที่รู้ก็เป็นนาม มือที่คู้เข้ามามันเป็นรูป ใจที่รู้อาการคู้นั้นเป็นนาม ในลักษณะอย่างนี้ เรียกว่าเป็นการยังการปฏิบัติให้เกิดขึ้นมา คือเราต้องมีสติกำหนดรู้ในลักษณะอย่างนี้
นอกจากนั้นเราก็รู้เกี่ยวกับการที่มันเกิดปีติเกิดปัสสัทธิขึ้นมา นี่เราก็รู้ด้วยอาการปฏิบัติ ยังจิตให้ถึงเฉพาะซึ่งปีติ ยังจิตให้ถึงเฉพาะซึ่งปัสสัทธิเป็นต้น ยังจิตให้ถึงซึ่งสภาวธรรมต่างๆ มีตัวเบา ตัวโยก ตัวโคลง ตัวโอน ตัวเอน อะไรต่าง ๆ อันนี้เป็นลักษณะของของการยังกายให้ถึงเฉพาะซึ่งอารมณ์ของกรรมฐาน อันนี้ก็เป็นการปฏิบัติ
แต่ว่าคนที่มาประพฤติปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนาของเรานั้นก็มีหลายประเภทนะ เรียนหนังสืออย่างเดียวก็มี ประพฤติปฏิบัติธรรมอย่างเดียวก็มี หรือว่าบุคคลผู้ประพฤติปฏิบัติธรรมแล้วนี่ ยังปฏิเวธธรรมให้เกิดขึ้นมาก็มี ปฏิเวธธรรมนั้นเป็นธรรมที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติ
ปฏิเวธธรรมหมายถึงธรรมที่แทงตลอด แทงตลอดซึ่งสมาธิสมาบัติ แทงตลอดซึ่งวิปัสสนา แทงตลอดซึ่งมรรคผลพระนิพพาน เรียกว่า ปฏิเวธ คือการแทงตลอด การรู้ การเห็นแจ้ง การกระทำให้บรรลุ การกระทำให้ถึง การกระทำให้ดับไป สิ้นไป สูญไป เรียกว่า ปฏิเวธ คือการแทงตลอด
บุคคลผู้ศึกษาพระธรรมในพุทธศาสนานั้นก็แบ่งออกเป็น ๓ ขั้นก็คือ ขั้นของการเรียนพระปริยัติธรรม ขั้นของการปฏิบัติ แล้วก็ขั้นของปฏิเวธธรรม ขั้นของการศึกษาเล่าเรียนนั้นเป็นสัญญา ส่วนการประพฤติปฏิบัติธรรมนั้น เป็นรูปแบบ เป็นปฏิปทา เป็นแนวทาง ส่วนปฏิเวธนั้น เป็นการรู้แจ้ง เป็นการเห็นผลของการประพฤติปฏิบัติธรรม
ถ้าเราอุปมาอุปไมยก็ การศึกษาพระปริยัติธรรมนั้นก็เหมือนกับเราเรียนการทำนา การทำนาเราต้องไถเสียก่อน เราต้องคลาด เราต้องหว่าน แล้วเราก็มาถอนกล้า แล้วมาปักดำ เป็นต้น นี่เราเรียนวิชาทำนา นี่ปริยัติธรรมเหมือนกับเรียนวิชาทำนานะ แต่ว่าการปฏิบัตินั้นเหมือนกับว่าเราลงมือทำ ลงมือทำนา ไถนา ปลูกข้าว อะไรต่างๆ ด้วยตัวของเราเอง อันนี้เรียกว่าเป็นการปฏิบัติ ส่วนปฏิเวธธรรม หมายถึงว่า ข้าวมันออกรวง ข้าวมันออกรวงแล้ว ในลักษณะอย่างนั้น
หรือว่าเราเรียนตำรายา ปริยัติธรรมนี่เหมือนกับเราเรียนตำรายา ว่ายานี้มันรักษาโรคอะไร เราต้องใส่่ยานี้มากน้อยขนาดไหน เราต้องเอาอะไรใส่ไปบ้าง นี่เราเรียนตำรายา ปฏิบัติก็เหมือนกับการปรุงยา ปรุงยานะแต่ว่ายังไม่ได้ทานนะ ปรุงยานั้นด้วยตัวเอง ส่วนปฏิเวธธรรมนั้นก็เหมือนกับการดื่มยาที่ตนเองปรุง โรคภัยไข้เจ็บทั้งหลายทั้งปวงก็หายไป สิ้นไป สูญไป
หรือว่า ปริยัติธรรมนั้นก็เปรียบเสมือนกับการทำอาหาร อย่างเช่น เราจะแกงส้มเนี่ย เราต้องทำอะไรก่อน เราก็เรียนเสียก่อน ปฏิบัติธรรมก็เหมือนกับเราลงมือต้ม ก็คือเราต้องก่อไฟ เราต้องเอาหม้อไปตั้ง เราต้องเอาน้ำใส่ เราต้องเอาวัตถุดิบที่เราเตรียมมานั้นเอาใส่ลงไป นี่เป็นการต้มแต่เรายังไม่ได้ดื่มนะเรายังไม่ได้กินเรายังไม่ได้ฉันนะ ปฏิเวธธรรมก็เหมือนกับเราบริโภคต้มนั้น บริโภคดูมันอร่อยขนาดไหน อันนี้เรียกว่าเป็นปฏิเวธธรรม
แต่ว่าในพระพุทธศาสนาของเรานั้น บางคนก็เรียนอย่างเดียวก็มี บางคนก็ปฏิบัติธรรมอย่างเดียวก็มีนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสบุคคลผู้ศึกษาพระธรรมในพุทธศาสนาของเรานั้นไว้อยู่ ๔ ประเภท
ประเภทที่ ๑ ท่านกล่าวว่า ฟ้าร้องฝนไม่ตก คือบุคคลผู้ชอบเรียนนะ เรียนนักธรรมตรี นักธรรมโท นักธรรมเอก เรียนบาลีประโยค ๑-๒ เรียนอภิธรรมจนไปถึงโน้น มหาบัณฑิต แต่พอบอกประพฤติปฏิบัติธรรม ไม่เอาเถ้าเอาถ่าน ชอบเรียนจัง เรียนเอาเป็นเอาตาย เรียนเอาจริงเอาจัง เรียนเอาชีวิตเป็นเดิมพัน แต่เวลาประพฤติปฏิบัติธรรมไม่เอา นี่ในลักษณะอย่างนี้เรียกว่า ฟ้าร้องนะ แต่ฝนไม่ตก ฟ้าร้องคำรามกันใหญ่ แต่ฝนมันไม่ตก คือไม่ประพฤติปฏิบัติธรรม
ก็เหมือนกับพวกที่เป็นพระวินัยธรกับพระธรรมกถึก ที่เราศึกษาในพระธรรมบท พระวินัยธรก็เรียนวินัยกันอย่างจริงจัง พระธรรมกถึกก็เรียนการเทศน์การสอนอย่างจริงจัง เรียนพระไตรปิฎกอย่างจริงจัง มีความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด พอพระวินัยธรกับธรรมกถึกมาเจอกันก็ทะเลาะกัน พระพุทธเจ้าห้ามไม่ฟัง ผลสุดท้ายก็องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไปจำพรรษาที่ป่า เพราะอะไร เพราะว่าพระวินัยธรกับพระธรรมถึกนั้นเรียนอย่างเดียว แต่ไม่ประพฤติปฏิบัติ ทิฐิมานะต่างๆ ก็ยังมีมีอยู่ ก็เลยทำให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งกันขึ้นมา ก็เพราะว่าเรียนกันอย่างเดียว แต่ไม่ได้ประพฤติปฏิบัติ ก็เลยไม่ละทิฐิ ไม่ละมานะ ทำให้เกิดการทะเลาเบาะแว้งกันขึ้นมา
ประเภทที่ ๒ ท่านกล่าวว่า ฝนตกแต่ฟ้าไม่ร้อง คือไม่ได้เรียน แต่ตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรม เหมือนกับพระเรวตะ หรือว่าพระกังขาเรวตะ พระเรวตะก็ดีพระกังขาเรวตะก็ดี ท่านจะเพ่งด้วยฌาน จะชอบอยู่ป่า จะชอบเข้าฌานอยู่เป็นประจำ เหมือนกับพระมหากัสสปะอย่างนี้ จะไม่ชอบคุย จะไม่ชอบโม้ จะชอบประพฤติปฏิบัติธรรม เข้าฌานอยู่เป็นประจำ เข้าสมาบัติอยู่เป็นประจำ อันนี้เรียกว่า ฝนตกแต่ว่าฟ้าไม่ร้อง คือประพฤติปฏิบัติธรรม ไม่ชอบพูดมาก ไม่ชอบสนทนามาก นี่ลักษณะอย่างนี้ ก็เป็นประเภทที่ฝนตกฟ้าไม่ร้อง
ประเภทที่ ๓ ท่านกล่าวว่า ฟ้าก็ไม่ร้องฝนก็ไม่ตก คือประเภทนี้ก็ไม่ศึกษาเล่าเรียน การศึกษาก็ไม่ศึกษา การประพฤติปฏิบัติก็ไม่ประพฤติปฏิบัติ หนักไม่เอาเบาไม่สู้ การเรียนก็ไม่เอาการปฏิบัติก็ไม่สู้อะไรทำนองนี้ นี่ในลักษณะของฝนไม่ตกฟ้าก็ไม่ร้อง ก็เหมือนกับพระกาฬุทายี ไม่เรียนไม่ประพฤติปฏิบัติธรรม เห็นพระสารีบุตรแสดงธรรมได้ก็โม้ว่า เราก็แสดงธรรมได้เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าพระสารีบุตรจะแสดงธรรมได้อย่างเดียว เราก็แสดงธรรมได้เหมือนกัน ก็ไปพูดโฆษณาให้คนอื่นฟัง แล้วก็ท้าพระสารีบุตรแสดงธรรม ให้พระสารบุตรแสดงธรรมก่อนแล้วเราจะแสดงธรรมทีหลัง พระสารบุตรแสดงธรรมเสร็จเรียบร้อยแล้ว กาฬุทายีก็ไม่แสดงธรรม ก็ผลัดตั้งแต่ปฐมยามจนถึงมัชฌิมยามก็ไม่ขึ้นแสดง จนถึงปัจฉิมยามก็ยังไม่ขึ้นแสดง ผลสุดท้ายก็ มันจะสว่างก่อนก็ขึ้น พอขึ้นแสดงธรรรมแล้วก็พูดอะไรไม่ได้ เพราะว่าตนเองเรียนหนังสือก็ไม่ได้เรียน ปฏิบัติธรรมก็ไม่ได้ปฏิบัติ ผลสุดท้ายชาวบ้านทั้งหลายทั้งปวงก็ไล่ลงจากธรรมาสน์ วิ่งไปตกถังอุจจาระ กาฬุทายีเนี่ย วิ่งหนีญาติโยมไปตกถังอุจจาระนะ นี่เพราะอะไร เพราะว่าตนเองอวดนะ อวดสู้พระสารีบุตร อันนี้เรียกว่า ฝนไม่ตกฟ้าก็ไม่ร้องนะ
ประเภทที่ ๔ ท่านกล่าวว่า ฝนก็ตกฟ้าก็ร้อง คือการศึกษาเล่าเรียนก็เรียนมามาก การประพฤติปฏิบัติธรรมก็ปฏิบัติมามาก จนเห็นผลนะ คือทั้งเรียนทั้งปฏิบัติมามากทั้ง ๒ อย่าง เหมือนกับพระมหาสิวะนี่ มหาสิวะนี่ก็เป็นอาจารย์สอนถึง ๑๘ ศาสตร์นะ แล้วก็ตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรมกันจริงจัง ใช้เวลาปฏิบัติธรรมอยู่เป็นหลายสิบปีนะ จนได้บรรลุมรรคผลพระนิพพาน สำเร็จเป็นพระอรหันต์พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาญาณทั้ง ๔ นะ นอกจากนั้นก็ อย่างลูกศิษย์ของพระสารีบุตรนี่ก็เรียนอภิธรรมเจนจบ เรียนพระปริยธรรมแล้วก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาญาณทั้ง ๔ ด้วยนะ ทั้งเรียนทั้งปฏิบัติ
หรือเรื่องของพระนาคเสนนี้นะ พระนาคเสนนี่ก็ไปเรียนหนังสือตั้งแต่เป็นเณร แล้วก็เรียนจบพระไตรปิฎก แล้วก็มาประพฤติปฏิบัติ เมื่อมาประพฤติปฏิบัติธรรมแล้วก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ เมื่อบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้วก็สามารถไปโต้ปัญหากับพระเจ้าปายาสิได้ อันนี้เพราะอะไร เพราะท่านมีความรู้ทั้งปริยัติมีความรู้ทั้งปฏิบัติ นี่ในลักษณะอย่างนั้น
ปริยัตินั้นก็เปรียบเสมือนกับการเรียนตำรา ปฏิบัติก็เหมือนกับเราลงมือทำตามตำราที่เราเรียนไว้ ปฏิเวธก็คือสิ่งที่เราได้บริโภคตามตำราของเรา ปริยัตินั้นเหมือนกับเราเรียนลายแทงไปหาสมบัติ ปฏิบัตินั้นเปรียบเสมือนกับเราเดินตามลายแทงไป ค้นคว้าตามลายแทง แต่ยังไม่ได้พบสมบัตินะ แต่ปฏิเวธธรรมนั้น เปรียบเสมือนกับเราได้เจอสสมบัติ
ปริยัตินั้นเปรียบเสมือนกับเราเรียนแผนที่ของสมถกรรมฐาน เรียนแผนที่ของวิปัสสนากรรมฐาน การปฏิบัติเหมือนกับเราเดินตามแผนที่ของสมถกรรมฐาน เราเดินตามแผนที่ของวิปัสสนากรรมฐาน ปฏิเวธธรรมนั้นเหมือนกับเราแทงตลอดซึ่งสมถกรรมฐาน เช่น ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน เหมือนกับเราแทงตลอดซึ่งวิปัสสนากรรมฐาน เหมือนกับการได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี เป็นพระอรหันต์ อันนี้เรียกว่าเป็นปฏิเวธธรรมนะ
เพราะฉะนั้น ธรรมในพระพุทธศาสนาของเรานั้นมีอยู่ ๓ ระดับ ก็คือ ปริยัติธรรม ปฏิปัตติธรรม ปฏิเวธธรรม ปริยัติธรรมนั้น เราเรียนแล้ว เรารู้แล้วกิเลสยังไม่ตายนะ ฆ่ากิเลสยังไม่ตาย คลายกิเลสยังไม่หลุด ยังไม่สามารถผุดเป็นองค์แห่งพระอริยสงฆ์ได้ บางครั้งบางคราวเรียนพระปริยัติธรรมอย่างเดียวก็อาจจะเอาตัวไม่รอดนะ ความรู้ท่วมหัวอาจจะเอาตัวไม่รอดนะ ในโบราณนั้นท่านเขียนไว้ในสำนักเรียนบาลี
มีคนเอาหนังสือทูลศีรษะสูงเป็นประมาณศอกนึ่ง มีมือจับหนังสือทูนอยู่บนศีรษะ แต่ว่าตัวของบุคคลนั้นจมลงไปในแผ่นดินนะ จนถึงคอนะ อันนี้เรียกว่า ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด อะไรอะไรรู้หมด แต่ว่าไม่ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน บางครั้งก็ละกิเลสของตนเองไม่ได้ ละทิฐิของตนเองไม่ได้ นี่ในลักษณะอย่างนี้ เรียกว่าความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอดนะ
ปริยัตินี้ก็มีประโยชน์ในการทรงจำไว้ซึ่งพระธรรมคำสั่งสอนนะ แต่ไม่ใช่เป็นการละกิเลส แต่มีประโยชน์ในการทรงไว้ซึ่งพระธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ให้เสื่อมไม่ให้สิ้นไป ด้วยการทรงไว้ด้วยการจำไว้
ส่วนปฏิปัตติธรรมนั้น มีประโยชน์ มีความดี ก็คือการกระทำให้ถึงซึ่งการศึกษาเล่าเรียน เพราะการเรียนกับการปฏิบัติมันคนละอย่างกัน การเรียนเราเรียนอย่างนี้ เวลาเราปฏิบัติจริงจังมันเป็นอีกอย่างหนึ่ง เหมือนกับการเดินจงกรมเนี่ย การที่เราศึกษาภาคทฤษฎีก็เป็นอีกแบบหนึ่ง แต่เวลาเราเริ่มเดินจริงๆ แล้วเนี่ย มันก็จะเกิดปีติ เกิดปัสสัทธิ เกิดสมาธิ เกิดสมถกรรมฐาน เกิดวิปัสสนากรรมฐาน ควบคู่กันในขณะที่เราเดินจงกรม มันจะเป็นคนละอย่างกัน
ส่วนปฏิเวธธรรมนั้นก็หมายถึงมันเกิดผล ผลในที่นี้หมายถึงสมาธิ นับตั้งแต่ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน ปัญจมฌาน จนถึงอรูปฌาน นับตั้งแต่วิปัสสนาญาณที่ ๔ จนไปถึงโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล ไปจนถึงอรหัตตมรรค อรหัตตผล นี่เป็นปฏิเวธธรรม
ปฏิเวธธรรมนี้ก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ละกิเลสตายคลายกิเลสหลุดนะ ถ้าผู้ใดบวชเข้ามาในพระพุทธศาสนาของเราเนี่ย ก็ต้องยังปฏิเวธธรรมให้เกิดขึ้นมา ถ้าผู้ใดยังปฏิเวธธรรมให้เกิดขึ้นมาแล้ว มีการบรรลุเป็นพระโสดาบันเป็นต้น บุคคลนั้นก็จะไม่ไปสู่อบายภูมินะ คือจะไม่ไปเกิดในนรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉานนะ เพราะอะไร เพระว่ามีพระนิพพานเป็นที่รองรับนะ
ท่านอุปมาอุปไมยเหมือนกับเราโยนสิ่งของลงในแม่น้ำนี่แหละ เราโยนก้อนหินก็ดี โยนสิ่งของสิ่งใดสิ่งหนึ่งลงไปในแม่น้ำเนี่ย ขณะที่เราโยนสิ่งของนั้นลงไปนะ ก็มีเรือมารองรับวัตถุที่เราโยนลงไปในแม่น้ำนั้น ก็ไม่จมลงไปในห้วงแห่งแม่น้ำ เพราะอะไร เพราะว่ามีเรือรองรับ บุคคลผู้กระทำบาปมาแต่ก่อนโน้น เคยฆ่าเป็ดฆ่าไก่ เคยฆ่าวัวฆ่าควาย เป็นต้น เวลาตายไปแล้วไม่ไปสู่อบายภูมิเพราะอะไร เพราะว่ามีนิพพานเป็นที่รองรับ จิตของบุคคลนั้นได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานแล้ว บุคคลนั้นจะไม่ไปสู่อบายภูมิเด็ดขาด ถึงจะเคยฆ่าเป็ดฆ่าไก่ ฆ่าวัวฆ่าควายมา ก็ไม่ได้ไปสู่อบายภูมิ เหมือนกับพระองคุลิมาลนั้นแหละ ไม่ได้ไปสู่อบายภูมิ ฆ่าคนมาตั้ง ๙๙๙ คน นายตัมพทาฐิกะผู้มีเคราแดงตาเหลือกเหลืองเนี่ย ฆ่าคนมาจำนวนมาก ตลอดระยะเวลา ๕๕ ปี ตายไปแล้วก็ไม่ได้ไปเกิดในอบายภูมิ ทำไมไม่ไปเกิดในอบายภูมิ เพราะจิตของนายตัมพทาฐิกะนั้นได้ถึงซึ่งพระนิพพานแล้ว ได้สำเร็จเป็นพระโสดาบันแล้ว มีพระนิพพานเป็นเครื่องรองรับแล้ว
เราทั้งหลายทั้งปวงผู้มาประพฤติปฏิบัติธรรมเนี่ย ถ้าเราไม่ทำบาปเช่น ฆ่าพ่อฆ่าแม่ เราไม่ทำบาปฆ่าพระอรหันต์ เราไม่ทำบาปโลหิตุปบาท ยังโลหิตของพระพุทธเจ้าให้ห้อ เราไม่ทำสังฆเภท ทำให้สงฆ์แตกร้าวกันเนี่ย เราไม่กระทำอนันตริยกรรมทั้ง ๕ ข้อเนี่ย เรามีโอกาสได้ประพฤติปฏิบัติธรรมได้บรรลุมรรคผลนิพพานนะ เพราะฉะนั้น บุคคลผู้ได้มาบวชเป็นแม่ชีก็ดี เป็นพระก็ดี ถ้าเราไม่ได้ฆ่าพ่อฆ่าแม่ ไม่ได้ฆ่าพระอรหันต์ ไม่ได้ทำโลหิตุปบาท ไม่ได้ทำสงฆ์ให้แตกกันเนี่ย เรามีโอกาสได้บรรลุเป็นพระโสดาบันนะ เรายังไม่เป็นอภัพพบุคคลนะ เรายังสามารถรู้แจ้งแทงตลอดอยู่ เพราะฉะนั้น ก็ขอให้เราทั้งหลายทั้งปวงได้มีความขยันในการประพฤติปฏิบัติธรรม เพราะว่าเราทุกคนก็เป็นผู้มีส่วนแห่งการได้บรรลุมรรคผลตามกำลังแห่งบุญวาสนาบารมีของเรา
เพราะฉะนั้นก็ขอให้เราทั้งหลายทั้งปวงได้มีความตื่นตัวว่องไวก้าวหน้า มีความตั้งจิตตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรมจริงๆ บุคคลประพฤติปฏิบัติธรรมนั้นย่อมมีเป้าหมายนะ มีเป้าหมายว่าเราจะได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน มีเป้าหมายว่าเราจะบรรลุเป็นพระสกทาคามี อนาคามี มีเป้าหมายว่าเราจะได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ การบรรุเป็นพระโสดาบันมีอานิสงส์อย่างไร การบรรลุเป็นพระสกทาคามี อนาคามี มีอานิสงส์อย่างไร การบรรลุเป็นพระอรหันต์มีอานิสงส์อย่างไร เราก็นึกถึงอานิสงส์เหล่านั้นอยู่เนืองๆ เมื่อเรานึกถึงอานิสงส์เหล่านั้นอยู่เนืองๆ ก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เรามีความกล้าหาญ มีความเด็ดเดี่ยว มีความมุ่งมั่นในการประพฤติปฏิบัติธรรม ไม่ย่อท้อต่อการประพฤติปฏิบัติธรรม เราจะประพฤติปฏิบัติธรรมนานขนาดไหน เป็น ๕ ปี ๔๐ ปี แต่ถ้าเรานึกถึงความเพียรอยู่อย่างนี้ นึกถึงอานิสงส์อยู่อย่างนี้บ่อยๆ เราก็จะไม่เกียจคร้านนะ แล้วเราก็จะมีความเพียรอยู่ ปฏิบัติธรรมอยู่เรื่อยๆ แต่ถ้าเราไม่นึกถึงอานิสงส์เหล่านี้ ไม่นึกถึงการประฤติปฏิบัติธรรมอย่างนี้นะ มันก็จะมีการปล่อยวาง มันก็มีการวางเฉย มันก็เป็นความเกียจคร้านขึ้นมา นี่จะเป็นไปในลักษณะอย่างนั้นนะ เพราะฉะนั้นก็ขอให้เราทั้งหลายทั้งปวงตั้งอยู่ในความไม่ประมาท พยายามไขว่คว้าเอามรรคเอาผลเอาพระนิพพานให้มากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ นี่เป็นหนทางออกจากกองทุกข์ทั้งหลายทั้งปวงก็หนทางเดียวนี้แหละ ก็คือพระนิพพาน
อาตมาภาพได้กล่าวธรมมาก็เห็นว่าพอสมควรแก่เวลา.