ยกจิตให้สูงขึ้น
พระภาวนาสุตาภิรัต (ชอบ พุทฺธสโร)
(วันที่ ๑๑ ม.ค. ๖๕)
เวลามีน้อยนิดเดียว เวลา ๓๐ นาที เป็นเวลาที่เราจะต้องยกจิตยกใจขึ้นสู่อารมณ์ของพระกรรมฐาน อารมณ์ของพระกรรมฐานก็คือรูปคือนาม ให้เรายกจิตยกใจขึ้นสู่รูปสู่นาม ขึ้นสู่อารมณ์พระกรรมฐาน คือให้เรามีสติ มีสัมปชัญญะ กำหนดรู้รูปรู้นาม รู้อาการพองอาการยุบ อันนี้เรียกว่าเรายกจิตขึ้นสู่อารมณ์พระกรรมฐาน
การยกจิตขึ้นสู่อารมณ์พระกรรมฐาน เราจะกำหนดพองหนอยุบหนอ สังเกตอาการของอาการพอง ตั้งแต่เริ่มพองขึ้นจนถึงสุดพอง สังเกตอาการยุบลง ตั้งแต่เริ่มยุบจนถึงสุดยุบ หรือเราจะกำหนดเสียง กำหนดว่า เสียงหนอ เสียงหนอ หรือได้ยินหนอ ได้ยินหนอ คำใดคำหนึ่ง อย่างนี้ชื่อว่ายกจิตขึ้นสู่อารมณ์พระกรรมฐาน
การยกจิตขึ้นสู่อารมณ์พระกรรมฐานนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสว่า เปรียบเสมือนกับบุคคลผู้ยกปลาขึ้นจากหนองน้ำ เวลาเรายกปลาขึ้นจากหนองน้ำแล้วก็โยนไปบนบก ธรรมชาติของปลานั้นอาศัยน้ำเป็นที่อยู่ น้ำกับปลานั้นเป็นของคู่กัน เมื่อมีคนจับปลาโยนขึ้นไปบนบก ปลานั้นย่อมตะเกียกตะกายลงมามาสู่น้ำอันเป็นที่อยู่ของตน ข้อนี้ฉันใด
เวลาเราจะยกจิตยกใจของเราขึ้นสู่อารมณ์ของพระกรรมฐาน จิตใจของเราก็ตะเกียกตะกายลงสู่กามคุณ คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส อันเป็นที่อยู่ของใจ ปลามีน้ำเป็นที่อยู่อาศัย จิตใจของคนทั้งหลายทั้งปวงก็มีกามคุณ ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส นั้นเป็นที่อยู่
ปลามีความชอบใจในน้ำ มีความพอใจในน้ำ มีน้ำเป็นที่อยู่ที่อาศัย ฉันใด ใจของคนทั้งหลายทั้งปวงก็มีรูป มีเสียง มีกลิ่น มีรส มีสัมผัส เป็นที่อยู่ที่อาศัย เป็นที่ชอบใจ ฉันนั้นเหมือนกัน
เมื่อเรายกจิตยกใจของเราขึ้นสู่อารมณ์พระกรรมฐานแล้วเนี่ย ใจของเราก็วิ่งไปหารูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ที่เป็นอดีต ที่เป็นอนาคต วิ่งไปหารูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ที่ชอบใจบ้าง ไม่ชอบใจบ้าง บางครั้งมันก็คิดไปถึงอารมณ์ที่น่าใคร่น่าปรารถนา บางครั้งมันก็คิดไปถึงเสียงที่น่าใคร่น่าปรารถนา บางครั้งมันก็คิดไปถึงกลิ่นที่น่าใคร่น่าปรารถนา บางครั้งมันก็คิดไปถึงอารมณ์ที่เคยเสพเคยได้สัมผัสอะไรต่างๆ ที่น่าปรารถนา
บางครั้งก็คิดไปถึงอารมณ์ที่เป็นอนิฏฐารมณ์ คือเป็นอารมณ์ที่ไม่น่าปรารถนา เกิดความพยาบาท เกิดความอาฆาต เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ เกิดความอิจฉาริษยาเป็นต้น อันนี้เรียกว่าใจของเรานั้นมันวิ่งไปตามอารมณ์ต่างๆ ทั้งที่ชอบใจไม่ชอบใจ
เวลาเรามาเจริญภาวนานั้น เป็นการทวนกระแสนะ ไม่ใช่เป็นการตามกระแส เป็นการทวนกระแส ทวนกระแสแห่งจิตใจของเรา ท่านอุปมาอุปไมยเหมือนน้ำที่ไหลลงจากภูเขา มันไหลไปเรื่อย ไหลไปเรื่อย เราจะไม่เห็นน้ำมันไหลขึ้นภูเขา อันนี้จะไม่มี น้ำมันย่อมไหลลงไปสู่ที่ต่ำ ฉันใด ใจของเราก็ไหลไปสู่ที่ต่ำคือรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ฉันนั้น
ถ้าเราจะเอาน้ำขึ้นไปบนยอดภูเขา เราต้องตักขึ้นไป เราต้องทดขึ้นไป เราต้องมีความพยายาม ใช้กำลังนำน้ำนั้นขึ้นไป น้ำนั้นจึงจะขึ้นไปบนภูเขาได้ จิตใจของเราจะขึ้นสู่อารมณ์ของพระกรรมฐาน จะขึ้นสู่อารมณ์ของศีล ของสมาสิ จะขึ้นสู่อารมณ์ของวิปัสสนา จะขึ้นสู่อารมณ์ของมรรคผลพระนิพพาน เราต้องเป็นตัวนำขึ้นไปนะ เราต้องนำไปด้วยความเพียร ด้วยความอดทน ด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญาจริงๆ จิตใจเราจึงจะถึงมรรคถึงผลนะ
บุคคลผู้เอาน้ำขึ้นไปบนภูเขาเนี่ย ขึ้นไปยากลำบากอย่างไร บุคคลที่จะนำจิตนำใจของตนเองขึ้นสู่อารมณ์ของพระกรรมฐาน ขึ้นสู่อารมณ์ของวิปัสสนาญาณอันเป็นเครื่องให้เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ตลอดถึงขึ้นสู่อารมณ์ที่จะเป็นมรรคเป็นผลเป็นพระนิพพาน มันเป็นของยากนะ เหมือนกับเราเอาน้ำขึ้นภูเขานั่นแหละ
บุคคลผู้เอาน้ำขึ้นภูเขาเนี่ย ต้องมีความอดทน ต้องมีความพยายาม ต้องมีความเพียร ต้องมีสติปัญญา จึงจะเอาน้ำขึ้นภูเขาได้ ฉันใด บุคคลผู้ที่จะนำจิตนำใจของตนขึ้นสู่สมาธิสมาบัติ ขึ้นสู่มรรคผลพระนิพพาน ก็เหมือนกัน ไม่ใช่ง่ายนะ มันเป็นของยาก เป็นของลำบาก
บุคคลผู้มามาเจริญวิปัสสนากรรมฐานนั้น ท่านชื่อว่าเป็นผู้ทวนกระแส บางครั้งบางคราว จิตใจของคนผู้ที่มาประพฤติปฏิบัติธรรมนั้นน่ะ เป็นผู้มีกิเลสหนา มีกิเลสมาก มีความโกรธ ความโลภความหลงมาก เวลามาประพฤติปฏิบัติธรรม บุคคลนั้นต้องทวนกระแสอย่างมากนะ ต้องมีความเพียรพยายามอย่างอุกฤต จึงจะทวนกระแสที่มันไหลเชี่ยวได้
ส่วนบุคคลใดที่มีบุญวาสนาบารมีมาในการเป็นนักบวช ในการเจริญสมถะวิปัสสนามามากเนี่ย ก็ไม่ได้ทวนกระแสมาก เพราะจิตใจมันโน้มมันโอนมันเอนมาในส่วนแห่งการภาวนาแล้ว
เพราะฉะนั้น การทวนกระแสนั้น เราต้องทวนด้วยความเพียรอย่างแรงกล้านะ เวลาเราว่ายน้ำข้ามกระแสที่มันไหลเชี่ยวเนี่ย มือ ๒ ข้าง เท้า ๒ ข้างของเรา ต้องตะเกียกตะกาย พยายามให้ถึงที่สุด ทั้งจิตใจก็ต้องเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว ทั้งร่างกายก็ตะเกียกตะกายทั้งมือทั้งเท้า ช่วยกันทั้งหมด อวัยวะทุกส่วนมันช่วยกันทั้งหมด
เวลาเราประพฤติปฏิบัติธรรมเพื่อบรรลุมรรคผลนิพพานนี้ก็เหมือนกัน เราต้องทุ่มเททั้งกาย ทุ่มเททั้งวาจา ทุ่มเททั้งใจ เราต้องพยายามทุกอริยาบถ จะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอน จะกิน จะดื่ม จะพูด จะคิด จะทำกิจอะไรต่างๆ เราต้องมีความเพียรอยู่ตลอดเวลา มีความเพียรทุกอิริยาบถ มีความเพียรอยู่ในที่ทุกสถานในกาลทุกเมื่อ เหมือนกับที่เราลอยทวนกระแสน้ำนั่นแหละ ถ้าเราหยุดว่ายเมื่อไหร่นะ น้ำก็จะพัดเราลงไปข้างล่าง ตามกระแสน้ำไป เพราะฉะนั้น มือเท้าของเรานี่ต้องมีความตะเกียกตะกายอยู่ตลอดเวลา หยุดไม่ได้ หยุดเมื่อไหร่น้ำก็ต้องพัดเราไป
บุคคลผู้เจริญวิปัสสนากรรมฐานก็เหมือนกัน ถ้าเราหยุดกระทำความเพียร จิตใจของเราก็ไหลไปสู่รูป สู่เสียง สู่กลิ่น สู่รส สู่สัมผัส เดี๋ยวก็เกิดความรัก แล้วก็เกิดความชัง แล้วก็เกิดความชอบใจ เกิดความโกรธ ความโลภ ความหลง ขึ้นมา เพราะว่าเรานั้นไม่ได้ทวนกระแส เราตามกระแส
บุคคลผู้ประพฤติปฏิบัติธรรมนั้น ประพฤติปฏิบัติธรรมด้วยความลำบากนะ แต่เราลำบากเพื่อความสุขเพื่อความสบายนะ ไม่ใช่ลำบากเพื่อให้เกิดความทุกข์ยากในอนาคตนะ ลำบากเพื่อที่จะถึงสุขในบั้นปลาย การประพฤติปฏิบัติธรรมของเรานั้น ท่านเปรียบเสมือนกับเราเอามะม่วงมาบ่ม เอาของที่มันดิบๆ นี่มาบ่ม ขณะที่เราบ่มนั้น มะม่วงมันยังไม่สุก มันยังเขียวๆ อยู่ ถ้าเราจะไปกินตอนที่มันเขียวๆอยู่ มันก็เปรี้ยว มันก็ไม่มีรสหวาน เพราะมันยังไม่สุก เราก็เอามาบ่ม เมื่อเราบ่มได้ที่แล้ว มันก็เหลืองสุก ก็มีความหอม มีรสหวานอร่อยขึ้นมา
ถ้ากายของผู้ใด วาจาของผู้ใด ใจของผู้ใด ที่ถูกบ่มด้วยศีล บ่มด้วยสมาธิ บ่มด้วยวิปัสสนา บ่มด้วยมรรคด้วยผลแล้วเนี่ย กายวาจาใจของผู้ใดถึงมรรคถึงผลแล้ว เรียกว่ามีกายอันสุกแล้ว มีใจอันสุกแล้ว มีวาจาอันสุกแล้ว กาย วาจา ใจ ของคนนั้นก็หอม เป็นวาจาที่เป็นบุปผวาจา เป็นวาจาที่เหมือนกับดอกไม้ที่มีกลิ่นหอม เป็นมธุรวาจา เป็นวาจาที่อ่อนหวานเหมือนกับน้ำผึ้ง มีรสหวานชื่นใจเหมือนกับน้ำผึ้ง
ถ้าเราบ่มกาย บ่มวาจา บ่มใจของเรา ด้วยศีล ด้วยสมาธิด้วย วิปัสสนา ด้วยมรรคผลพระนิพพานแล้วเนี่ย กายวาจาก็จะสุก เพราะฉะนั้น เราปฏิบัติธรรม มันทุกข์ มันลำบาก ก็เพื่อความสุข
การประพฤติปฏิบัติธรรมนี้ ท่านอุปมาอุปไมยเหมือนกับเรากินอ้อยจากปลายไปหาโคน เวลาเรากินอ้อยใหม่ๆ จากปลายมันก็จืดๆ ไม่มีรสชาติ เรามาเริ่มประพฤติปฏิบัติใหม่ๆ เมื่อจิตใจยังไม่ได้สมาธิ เมื่อจิตใจยังจับรูปจับนามไม่ทัน เมื่อจิตใจของเรายังไม่เกิดวิปัสสนาญาณ ยังไม่เกิดมรรคผลพระนิพพานเนี่ย มันก็เหมือนกับการปฏิบัติมันจืดชืด มันมีแต่ความอด มีแต่ความทน มีแต่ความลำบาก มีแต่ความเหน็ดเหนื่อย มีแต่ความเมื่อยล้าต่างๆ
แต่ถ้าเรามีสติมีสัมปชัญญะดีขึ้นมาแล้วเนี่ย พวกปีติมันเริ่มเกิดขึ้น ปัสสัทธิมันเริ่มเกิดขึ้น สมาธิมันเริ่มเกิดขึ้น ความปรากฏผลของการปฏิบัติธรรมก็เกิดขึ้นมา ทำให้เราเกิดความสบายใจ เกิดความปีติ เกิดความอิ่มอกอิ่มใจขึ้นมาได้ ก็เหมือนกับว่าเราเคี้ยวอ้อยเข้าไปได้กึ่งหนึ่งแล้ว มันก็มีรสหวานบ้าง ก็คือมีปีติ มีปัสสัทธิ มีสมาธิบ้าง
ถ้าผู้ใดได้สมาธิขั้นสูงขึ้นไป เหมือนกับเราเคี้ยวอ้อยเข้ามาใกล้ๆ โคนแล้ว มันมีรถหวานขึ้นมาแล้ว เริ่มอร่อยขึ้นมาตามลำดับ ยิ่งอร่อยขึ้นไปๆ จนถึงการบรรลุมรรคผลนิพพาน เมื่อเราบรรลุมรรคผลนิพพานก็เหมือนกับเราได้เคี้ยวอ้อยตรงโคนต้น เนี่ยถ้าเราได้นิพพานนะ มันจะมีรสหวานจับใจ มีรสหวานอันตราตรึงจิตใจ เคี้ยวอ้อยมาตั้งแต่ปลายมันไม่อร่อยเท่าเคี้ยวตงโคนนะ มันหวานจับใจเหลือเกิน
บุคคลผู้ประพฤติปฏิบัติธรรมถึงมรรคถึงผลนี้ก็เหมือนกัน มรรคผลนี้ก็จะตราตึงจิตใจของบุคคลผู้เข้าถึง ทำให้บุคคลทั้งหลายทั้งปวงนั้นทอดทอดอาลัยในลูก ทอดอาลัยในสามี ทอดอาลัยในภรรยา ทอดอาลัยในของรักของชอบใจทั้งหลายทั้งปวง เห็นสิ่งทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้นเป็นของตกอยู่ในความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ทนอยู่ไม่ได้ เป็นของไม่จีรังยั่งยืน เป็นของชั่วคราว เป็นของสมมติ เป็นของที่ต้องแตกต้องสลายไปเป็นต้น
บุคคลผู้ประพฤติปฏิบัติธรรมเนี่ย ใหม่ๆ มันก็ลำบาก แต่ว่าเราลำบากเพื่อความสบาย ลำบากเมื่อหนุ่มดีกว่ากลุ้มใจตอนแก่ ไม่มีบุคคลใดที่ประพฤติปฏิบัติธรรมด้วยความสะดวกสบายโดยไม่มีความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเลย ไม่มีนะ บุคคลที่เขาประพฤติปฏิบัติธรรมได้บรรลุธรรมไวๆ ที่เราอ่านในพระไตรปิฎก ที่เราได้ฟังเทศน์ของครูบาอาจารย์ที่ยกมาจากพระไตรปิฎก ว่าฟังธรรมแล้วก็ได้ดวงตาเห็นธรรม ฟังปั๊บก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ เป็นต้น
คนทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้นบำเพ็ญบารมีในอดีตชาติมามากนะ เขาบำเพ็ญบารมีมามากมาย เหมือนกับตักน้ำใส่ตุ่มจนมันจะเต็มแล้ว มันจะล้นแล้ว มันปริ่มๆ แล้ว เรียกว่าบารมีมันปริ่มๆ แล้ว พอมาถึงภพนี้ชาตินี้เนี่ย เราตักลงไปขันเดียวมันก็ล้นแล้ว คนมีบารมีปริ่มแล้วเนี่ย ประพฤติปฏิบัติธรรมก็แป๊บเดียว
เหมือนกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในสมัยที่พระองค์ทรงเป็นพระบรมโพธิสัตว์ ได้เสวยพระชาติเป็นพระเตมีย์ใบ้ พระเตมีย์นั้น ในสมัยที่พระองค์ทรงเป็นกุมาร พระราชบิดานั้นเป็นพระมหากษัตริย์ เวลาสมเด็จพ่อออกว่าราชการตัดสินความต่างๆ เวลาอำมาตย์เวลาเสนาทั้งหลายทั้งปวงนำโจรมาให้วินิจฉัยคดี พระองค์ก็ทรงตัดสินเฆี่ยนบ้าง โบยบ้าง ตัดสินประหารชีวิตครั้งละ ๑ คน ๒ คนบ้าง ตัดสินตัดหูบ้าง ตัดมือบ้าง ตัดเท้าบ้าง อะไรทำนองนี้
พระบรมโพธิสัตว์ที่นั่งอยู่บนพระเพลาของพระราชาที่กำลังออกว่าราชการตัดสินคดีอยู่นั้น ก็ระลึกชาติได้ว่า สมัยก่อนนู้นเราก็เคยเป็นพระราชาเหมือนกับสมเด็จพ่อของเรานี่แหละ เราก็ตัดสินพวกที่เป็นโจร พวกที่ลักเล็กขโมยน้อย พวกที่ชอบเบียดเบียนย่ำยีบุคคลอื่น บางครั้งเราก็สั่งเฆี่ยนสั่งโบย บางครั้งเราก็สั่งให้จองจำ บางครั้งเราก็สั่งให้ตัดมือ สั่งให้ตัดเท้า สั่งให้ตัดหู สั่งให้ตัดจมูก เป็นต้น เราตายไปแล้วเนี่ย เราก็ไปเกิดในอุสสทนรก พ้นจากอุสสทนรกแล้วเรามาเกิดเป็นพระราชกุมาร การไปเกิดในอุสสุทนรกนั้นมันลำบากเหลือเกิน มันเป็นทุกข์เหลือเกิน ถ้าเราอยู่ในพระราชวังโดยความเป็นธรรมชาติ เราก็จะได้สืบความเป็นพระราชาจากพระราชบิดา ความเป็นพระราชาก็จะมาตกอยู่ที่เรา เมื่อความเป็นพระราชามาตกอยู่ที่เราแล้วเนี่ย เราก็ต้องออกว่าราชการ สั่งประหาร สั่งตัดมือตัดเท้า สั่งเฆี่ยนสั่งโบยคนนู้นคนนี้ ตายไปแล้วเราก็จะไปเกิดในอุสสุทนรกอีก เราจะไม่ยอมไปเกิดในอุสสุทนรกอีก
หลังจากนั้นมา พระเตมีย์กุมารก็แกล้งเป็นคนใบ้ แกล้งเป็นคนง่อย แกล้งเป็นคนมีสติไม่ดี เคลื่อนมือเคลื่อนเท้าไม่ได้ พระราชาก็เห็นกุมารเป็นในลักษณะนั้นก็สั่งให้หมอมาตรวจดู หมอหลวงทั้งหลายทั้งปวงมาตรวจดูแข้งตรวจดูขาตรวจมืออะไรต่างๆ ก็เป็นปกติดีทุกอย่าง แต่พระราชกุมารนั้นไม่ขยับเขยื้อน แล้วก็แกล้งเป็นง่อยเป็นใบ้ ไม่ยอมพูดจาปราศรัย จนพระราชาทดสอบหลายสิ่งหลายอย่าง นับตั้งแต่เอาพระกุมารมานั่งอยู่แล้วก็เอาผ้ามาล้อม หลังจากนั้นก็เอากลองมาไว้ใกล้ๆ แล้วก็ตีขึ้นพร้อมกัน ดูว่าพระราชกุมารจะได้ยินเสียงกลองไหม จะตกใจไหม จะมีการขยับเขยื้อนมือเท้าไหม
พระราชกุมารต้องใช้อธิวาสนขันตินะ ไม่ยอมขยับเขยื้อน ทำเป็นหูหนวก ทำเป็นง่อย ทำเป็นใบ้ นอนนิ่งเฉย นอกจากนั้นพระราชาก็เอางูเห่างูจงอาง อสรพิษร้าย รีดพิษออก แล้วก็เอาอสรพิษร้ายนั้นขังไว้ไม่ให้กินเหยื่อ ไม่ให้กินอาหาร แล้วก็ปล่อยเข้าไปในห้องของพระราชกุมาร ดูว่าพระราชกุมารนั้นจะตกใจกลัวไหม พระราชกุมารก็ทรงใช้อธิวาสนขันติอย่างยิ่งนะ ไม่ขยับเขยื้อนเลยนะ เพราะว่าถ้าขยับเขยื้อนแล้วคงจะได้เป็นพระราชา ถ้าได้เป็นพระราชาแล้วก็ว่าราชกาอีก ตัดสินคดี ก็จะไปเกิดในอุสสุทนรกอีก เราอดทนแค่นี้ มันไม่ได้ทุกข์เหมือนกับการไปเกิดในอุสสุทนรก นี่พระองค์ทรงอดทนนะ
จนอายุ ๑๖ ปีเป็นหนุ่มแล้วนะ พระราชาก็พาพวกสตรีสวยๆ ที่คัดเลือกมาตามหัวเมืองต่างๆ ให้สตรีทั้งหลายทั้งปวงนั้นไปเล้าโลมเพื่อที่จะให้รู้ว่าพระราชกุมารนั้นเป็นง่อยเปลี้ยจริงไหม เป็นคนใบ้จริงไหม เป็นคนหูหนวกจริงไหม ก็เอาผู้หญิงทั้งหลายทั้งปวงนั้นไปเล้าโลมให้เกิดอารมณ์ต่างๆ
พระราชกุมารต้องทำความอดทนด้วยอธิวาสนขันติอย่างมาก คิดว่าถ้าเราขยับเขยื้อน เราพูด เรามีความกำหนัดขึ้นมาในหญิงเหล่านี้ เขาก็จะรู้ว่าเรานั้นไม่ได้เป็นคนง่อยเปลี้ย พระราชบิดาก็จะให้เรานั้นรับความเป็นพระราชาต่อจากพระองค์ เราก็จะไปเกิดในนรก เพราะเราต้องว่าความตัดสินคดีต่างๆ เพราะฉะนั้น เราต้องใช้ความอดทนเป็นอย่างยิ่ง
เราอดทนในการเดินจงกรมในการนั่งภาวนาเนี่ย ได้ครึ่งหนึ่งของพระเตมีย์ไหม ถ้าเราอดทน มีอธิวาสนขันติอย่างยิ่งเหมือนกับพระเตมีย์นั้น คิดว่าน่าจะได้บรรุเป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์แล้วนะ
นี้ความอดทนของพระพุทธเจ้าของเราเนี่ย ไม่ใช่ธรรมดานะ เราทั้งหลายทั้งปวงมีพระพุทธเจ้าเป็นพ่อเนี่ย เราควรที่จะเจริญรอยนะ เอาความอดทนของพระพุทธเจ้ามาเป็นเนติมาเป็นแบบอย่าง ให้เราประพฤตปฏิบัติธรรมเพื่อบรรลุมรรคผลนิพพานนะ
ถ้าพระราชกุมารเป็นคนมีร่างกายสมบูรณ์ดีเหมือนกับที่หมอหลวงกล่าวเนี่ย ทดสอบมาแล้วตลอดระยะเวลา ๑๖ เนี่ย ก็คงจะเห็นอาการใดๆที่ มันผิดแปลกขึ้นมา เช่น ขยับมือ ขยับเท้า ตกใจ อะไรต่างๆ แต่นี่ไม่มีอาการผิดปกติแม้แต่อย่างเดียว เพราะฉะนั้น พระราชกุมารนี้เป็นกาลกินี สั่งให้อำมาตย์เอาไปฝังไว้ที่ป่าช้าผีดิบนะ ก็ให้ราชบุรุษนั้นเอาใส่ราชรถไป ราชบุรุษไปถึงแล้วก็จอดราชรถไว้ ราชบุรุษก็ไปขุดดินเพื่อที่จะฝังพระราชโอรสนั้น
พระราชกุมารก็คิดว่า เราได้โอกาสแล้วที่เราจะพ้นจากการเป็นพระราชา เราออกมานอกเมืองแล้ว เราไม่ได้ขยับเขยื้อนตลอด ๑๖ ปี ลองดูสิว่าเราจะมีกำลังไหม ก็ลองขยับมือขยับเท้า ด้วยกำลังของพระโพธิสัตว์ ด้วยบุญญาธิการของพระโพธิสัตว์ สามารถขยับเขยื้อนมือได้ ก็เลยลงมายืน สามารถเดิน สามารถยืนได้ ด้วยกำลังของพระโพธิสัตว์ ด้วยกำลังบุญของผู้เป็นพุทธางกูร
นอกจากนั้นแล้วก็ลองดูกำลังว่าจะมีกำลังไหม ลองยกรถม้าขึ้น พระโพธิสัตว์มีกำลังยิ่งกว่าช้างสาร ๕ เชือกนะ จับรถม้ายกขึ้นเหมือนกับผู้ใหญ่ยกของชิ้นเล็กๆ ขึ้น ด้วยกำลังแห่งบุญของพระโพธิสัตว์ ราชบุรุษเห็นอย่างนั้นก็ตกใจ รีบนำความไปแจ้งพระราชา
พระเตมีย์ก็คิดว่า ถ้าพระราชบิดาพระราชมารดาพร้อมด้วยข้าราชบริพารมาเห็นเราในขณะที่เราเป็นกุมารอยู่ ก็จะอ้อนวอนขอให้เรากลับไปครองราชย์ อย่ากระนั้นเลย เราจะถือเพศเป็นนักบวชเป็นฤาษี ก็ถือเพศเป็นนักบวชเป็นฤาษีทันที เมื่อถือเพศเป็นนักบวชเป็นฤาษีแล้วก็นึกถึงบารมีในการเจริญสมถกรรมฐานที่ตนเองเคยสั่งสมไว้ในภพก่อนชาติก่อน เดินจงกรมกลับไปกลับมา เพียงแต่เดินจงกรมกลับไปกลับมาชั่วครู่เดียวนั้นแหละ ยังจตุตถฌานให้เกิดขึ้นมา ยังสมาบัติทั้ง ๘ ให้เกิดขึ้นมา
หลังจากนั้นมาพระราชบิดาพระราชมารดาก็มาถึง เมื่อมาถึงแล้ว พระกุมารนั้นยังสมาบัติทั้ง ๘ ให้เกิดขึ้นมาแล้ว ยังอภิญญา ๕ ให้เกิดขึ้นมาแล้ว พอพระราชบิดาพระราชมารดาพร้อมด้วยข้าราชบริพารมาถึง พระเตมีย์ซึ่งถือเพศเป็นดาบสก็เดินจงกรมอยู่บนอากาศ แล้วก็แสดงธรรมให้พระราชบิดาพระราชมารดาพร้อมด้วยทหารฟัง ทำให้พระราชบิดาพระราชมารดาตลอดถึงทหารทั้งหลายทั้งปวงนั้นออกบวชเป็นฤาษี ปลูกอาศรมอยู่กับพระเตมีย์
อันนี้บุคคลผู้ที่บำเพ็ญบารมีมาพบก่อนชาติก่อนมาก เพียงแต่เดินจงกรมกลับไปกลับมาสักรอบหนึ่งสองรอบเท่านั้นแหละ อภิญญา ๕ เกิดขึ้นมาแล้ว สมาบัตร ๘ เกิดขึ้นมาแล้ว อันนี้หมายความว่า พระองค์ทรงบำเพ็ญบารมีมาในภพก่อนชาติก่อนมากแล้ว อีกไม่กี่ภพกี่ชาติพระองค์ก็จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว บารมีล้นแล้ว ประเภทนี้เป็นผู้ที่ตรัสรู้เร็ว เป็นผู้ที่มีการบรรลุซึ่งฌานสมาบัติเป็นต้นเร็ว เพราะฉะนั้น การประพฤติปฏิบัติ กว่าที่พระองค์จะได้อย่างนั้นน่ะ อดทนอย่างมากนะ ดูสิ พระองค์ทรงอดทนมาถึง ๑๖ ปี
เพราะฉะนั้น ถ้าเราทั้งหลายทั้งปวงมีความอดทนเหมือนกับพระองค์นั้น การประพฤติปฏิบัติธรรมมันก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรงนะ นี่พระองค์ทรงเป็นคนไม่ย่อท้อนะ เป็นพระราชกุมาร เขาเอาผ้ามาล้อมรอบ เอากรองมาใกล้ๆ แล้วก็ตีขึ้นพร้อมกัน ไม่ตกใจเลย เรียกว่ามีความเข้มแข็งนะ เอาอสรพิษ งูใหญ่ๆ เนี่ย ทำให้มันหิวอาหาร ให้มันดุร้าย แล้วก็ปล่อยมา ไม่มีความตกใจ ไม่มีความสะดุ้งเลยนะ นี่มีความอดทนมากนะ เอาสตรีมาเย้ามายวนในขณะที่อายุ ๑๖ ปีเนี่ย ไม่มีความกำหนัดเลย นี่ความอดทน อดทนยิ่งนะ
ความอดทนนี่เป็นของคู่กับปัญญานะ ถ้าผู้ใดขาดปัญญา ความอดทนก็จะไม่มีนะ ความอดทนกับปัญญานี่มันเป็นของคู่กัน เราทั้งหลายทั้งปวงผู้ที่ประพฤติปฏิบัติธรรม ก็ขอให้ใช้ปัญญานำหน้าความอดทนด้วย บางครั้งก็ใช้ปัญญานำหน้าความอดทน ถ้าเราไม่มีปัญญา ความอดทนก็เกิดขึ้นมาไม่ได้นะ เพราะปัญญานั้นย่อมเป็นที่รวมลงแห่งธรรมทั้งหลายทั้งปวง จะเป็นการเจริญสมถะ จะเป็นการเจริญวิปัสสนา จะเป็นการให้ทาน จะเป็นการรักษาศีล ต้องอาศัยปัญญานะ ความอดทนกับปัญญานี่ต้องเป็นของคู่กัน ศีลกับปัญญามันก็เป็นของคู่กัน ถ้าคนไม่มีปัญญา จะรักษาศีลไม่ได้นะ เดี๋ยวก็พลั้งเผลอ เดี๋ยวก็พลั้งพลาด เดี๋ยวก็ประมาท แล้วก็เป็นไปตามอำนาจของราคะ โทสะ โมหะ กระทำผิดศีลต่างๆ เพราะอะไร เพราะไม่มีปัญญาควบคุมจิตใจของตัวเอง
เพราะฉะนั้น ความอดทนกับปัญญามันของคู่กัน ศีลกับปัญญามันก็เป็นของคู่กัน สมาธิกับปัญญานี้ก็เป็นของคู่กันนะ ถ้าเราไม่มีปัญญา เราปล่อยไม่ได้ เราวางไม่ได้ เรามีความยึดมั่นถือมั่น มีอุปาทาน จิตใจของเราฟุ้งซ่าน ไม่มีปัญญาขจัดความคิดเหล่านั้นได้ สมถะมันไม่เกิดขึ้นมานะ สมาธิมันไม่เกิดขึ้นมานะ ฌาน สมาบัติ วิโมกข์ มันไม่เกิดขึ้นมานะ เพราะฉะนั้น สมาธิกับปัญญามันต้องเป็นของคู่กันนะ
หรือว่าเราได้สมาธิ แต่เราไม่มีปัญญา เราก็รักษาสมาธิไม่ได้อยู่ดี ก็ปล่อยให้สมาธิเสื่อม ผลสุดท้ายก็ไม่สามารถเข้าสู่สมาธิได้ เพราะฉะนั้น ปัญญากับสมาธิก็เป็นของคู่กันอีกเหมือนกัน
วิปัสสนาก็ดี มรรคก็ดี ผลก็ดี ก็อาศัยปัญญาเป็นเครื่องให้ถึง เรียกว่า วิปัสสนาปัญญา อาศัยวิปัสสนาปัญญาทำให้เกิดมรรคเกิดผลเกิดพระนิพพานขึ้นมานะ เพราะฉะนั้น ปัญญานั้นเป็นของที่ต้องอยู่กับเรานะ เวลาประพฤติปฏิบัติธรรม ที่เราเกียจคร้านก็เพราะเราขาดปัญญานะ ที่เราขยันเพราะว่าเรามีปัญญานะ ที่เราประพฤติปฏิบัติธรรมไม่รู้เรื่อง มีจิตใจฟุ้งซ่านรำคาญ มีจิตใจซัดส่ายไปในอารมณ์ต่างๆ นั้น เราขาดปัญญานะ ขณะที่เราประพฤติปฏิบัติ เราสามารถกำหนดจิตกำหนดใจให้นิ่ง ให้เป็นสมาธิ ให้สงบลง เป็นปฐมฌานเป็นต้นได้ นี่เพราะเรามีปัญญาควบคุมนะ เนี่ยถ้าเราพิจารณาเรื่องปัญญาก็สำคัญนะ
เพราะฉะนั้น ก็ขอให้เราทั้งหลายทั้งปวงผู้ประพฤติปฏิบัติธรรมนั้น อย่าได้ประมาทในการประพฤติปฏิบัติธรรม พยายามทำเรื่อยไป จนกว่าเราจะได้บรรลุมรรคผลนิพพานโน่นแหละจึงจะเป็นที่นิ่งนอนใจได้
วันนี้อาตมภาพได้กล่าวธรรมมา ก็เห็นว่าพอสมควรแก่เวลา.