รางวัลของมนุษย์

รางวัลของมนุษย์

พระภาวนาสุตาภิรัต (ชอบ พุทฺธสโร)

(วันที่ ๑๒ ม.ค. ๖๕)


            ธรรมดามนุษย์เรานั้นมีความไม่เที่ยงแท้แน่นอนปรากฏขึ้นในสังขารร่างกายอยู่เป็นประจำ คือความไม่เที่ยงแท้แน่นอนนั้นมันเกิดขึ้นในชีวิตของเราอยู่เป็นประจำ แต่ว่าเราทั้งหลายทั้งปวง มีรางวัลของชีวิตที่ทำให้เรามีความกระตือรือร้น อยากจะเวียนว่ายตายเกิด อยากจะมีลาภมียศมีสรรเสริญต่างๆ

         ตามธรรมดาร่างกายของเรานั้น ความเป็นเด็กมันก็มีวัยที่สั้น ความเป็นหนุ่มเป็นสาวก็มีวัยที่สั้น ความเป็นหนุ่มเป็นสาวนั้นก็มีความแก่เป็นที่สุด ความแก่ก็มีความตายเป็นที่สุด หรือว่าความร่ำรวย เมื่อร่างกายแตกตายทำลายขันธ์แล้วก็เอาไปไม่ได้  ในชีชีวิตของคนเรานั้น มีความเป็นอนิจจัง ความไม่เที่ยง ความทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ ความบังคับบัญชาไม่ได้ ปรากฏอยู่เนืองนิตย์ แต่คนทั้งหลายทั้งปวงก็ไม่รู้จักโทษหรือว่าไม่รู้จักเข็ดไม่รู้จักจำในสิ่งเหล่านี้

         เพราะว่ามนุษย์ที่เกิดขึ้นมานั้น มีรางวัลอยู่ คือรางวัลของมนุษย์นั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสหมายเอาความยินดีในรูป ความยินดีในเสียง ความยินดีในกลิ่น ความยินดีในรส ความยินดีในกามคุณ ๕ นี่เป็นรางวัลของมนุษย์นะ เป็นรางวัลของคน

         คนเรานั้นยินดีในกามคุณทั้ง ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส อารมณ์ต่างๆ จึงอยากจะเวียนว่ายตายเกิด จึงอยากจะเป็นเทพไท้เทวา อยากจะเป็นเจ้าฟ้าองค์อินทร์องค์พรหม อยากจะเป็นเจ้าฟ้ามหากษัตริย์ อยากจะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ อยากจะเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐี อยากจะเป็นดารา อยากจะเป็นคนสวยคนงาม เป็นต้น อันนี้เป็นไปด้วยอำนาจของตัณหา เป็นไปด้วยอำนาจของกกามคุณ

         สิ่งเหล่านี้เป็นรางวัลของคน คนเรามีสิ่งเหล่านี้กระตุ้น ก็ทำให้อยากจะเวียนว่ายตายเกิด อยากจะแสวงหาภพ อยากจะแสวงหาภูมิ อยากแสวงหาที่เกิดต่างๆ เพราะว่ารางวัลมันน่าดีใจน่าพอใจเหลือเกิน รางวัลเหล่านี้แหละ คนทั้งหลายทวงต้องดิ้นรนทำมาหากิน อดตาหลับขับตานอน หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน อาบเหงื่อต่างน้ำ นอนกลางดินกินกลางทราย บ่าแบกหลังหนุน อะไรต่างๆ ก็เพราะกามคุณทั้ง ๕ นี้นะ ไม่ใช่อย่างอื่นนะ อันนี้เป็นรางวัลของมนุษย์นะ เป็นรางวัลของคนที่เกิดขึ้นมา ที่ดิ้นรนต่อสู้ต่างๆ 

         สิ่งเหล่านี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสว่า รางวัลที่เป็นของมนุษย์นี่เป็นของนิดหน่อย เหมือนกับเหยื่อที่มันอยู่ปลายเบ็ด ปลาที่มันไปกินเหยื่อเนี่ย มันจะมีความอร่อยสักเท่าไหร่ แค่เหยื่อนิดหน่อย กินเข้าไปแล้วเบ็ดมันก็มาเกาะที่ปากบ้างเกาะที่ตาบ้าง ก็ทำให้เกิดความทุกข์เกิดความทรมาน กับความที่มันเอร็ดอร่อยแค่เหยื่อที่มันอยู่ปลายเบ็ดน่ะ จะอร่อยขนาดไหนเชียว ความทุกข์ที่เกิดขึ้นจากเบ็ดมันเกี่ยวที่ตาบ้างที่ปากบ้างเนี่ย มันทุกข์ทรมานนะ

         เหมือนกับที่เรายินดีในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในกามคุณต่างๆ แล้วก็ต้องทนทุกข์ทรมานในการทำไร่ไถนา ในการทำสวน ในการทำมาค้าขาย ในการเลี้ยงดูลูกหลาน อะไรต่างๆ ทุกสิ่งทุกอย่าง ตลอดชีวิตของเราเนี่ย ทนทุกข์ทรมาน เพื่อที่จะได้ลิ้มรสแห่งความยินดีในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัสนะ เนี่ย รางวัลของมนุษย์นี่มีประมาณนั้นนะ

         เรายินดีในสิ่งที่เป็นรูปเป็นเป็นเสียงเป็นกลิ่นเป็นรส แต่เราต้องทนทุกข์ทรมานเหมือนกับที่ปลามันยินดีต่อความเอร็ดอร่อยที่ข้างในมันซ่อนเบ็ดไว้ ความทุกข์ที่เราได้มันก็เหมือนเบ็ดที่มันเกี่ยวนั่นแหละ ดิ้นยังไงก็ไม่หลุด ดิ้นยังไงก็ไม่พ้น ในที่สุดมันก็ตายคาเบ็ด เราก็ตายคาความยินดีในรูป ตายคาความยินดีในเสียง ตายคาความยินดีในกลิ่น ในรส ในสัมผัส ในอารมณ์ต่างๆ

         นอกจากนั้นท่านก็อุปมาอุปไมยรางวัลของมนุษย์นั้นเหมือนกับความฝันนะ รางวัลของมนุษย์นั้นเปรียบเสมือนกับความฝัน ความฝันนั้น เราจะฝันดีขนาดไหนก็ตาม ตื่นขึ้นมาแล้วมันก็หายไป มันไม่เป็นของที่แน่นอน รางวัลชีวิตของเราก็เหมือนกัน เราคิดว่าเราจะมีความสวยความงามก็ไม่ใช่ ไม่นานมันก็ต้องแก่ต้องชรา เราคิดว่าเราจะมีร่างกายแข็งแรงก็ไม่ใช่ ร่างกายของเราก็ทุพพลภาพไปตามลำดับ มันไม่เป็นของที่ยั่งยืน มันเป็นของนิดหน่อยเหมือนกับความฝัน ตื่นขึ้นมาแล้วก็เลือนรางไป

         ความสุขอันเกิดจากความเป็นมนุษย์ก็ดี ความแข็งแรงจากความเป็นมนุษย์ก็ดี ความภาคภูมิใจ ความอิ่มอกอิ่มใจในความเป็นมนุษย์ก็ดี มันก็เป็นของนิดหน่อย มันปรากฏนิดหน่อยเหมือนกับความฝัน เราจะถือเอาจีรังยั่งยืนก็ไม่ได้ เพราะมันเป็นความฝัน ชีวิตของเรานั้นก็อุปมาอุปไมยเหมือนกับความฝันนี่แหละ แม้แต่อัตภาพของเราก็เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้วความจริงมันจะตั้งอยู่ในความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ของร่างกายได้อย่างไร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสอย่างนั้นนะ

         นอกจากนั้นก็เปรียบเสมือนกับของที่ยืมเขามา คือของที่ยืมเขามานั้นเราต้องส่งคืนนะ ยืมมาได้ก็ดีใจ เราอยากได้เงินมาทำทุนมาค้าขาย มาช่วยแม่ป่วยพ่อป่วย มาสร้างบ้าน มาซื้อรถ แต่เราไม่มีเงิน เราก็อยากจะยืมเงิน เราก็เขียนหลักฐานต่างๆ ว่าเรามีอาชีพอย่างโน้นอย่างนี้ เพื่อที่จะให้เขาไว้วางใจ พยายามหาหลักฐานต่างๆ ให้มันลงตัว เพื่อจะยืมเงินธนาคาร เพื่อที่จะมาดูแลพ่อแม่ที่เจ็บที่ป่วย เพื่อที่จะเอามาค้าขาย เอามาสร้างบ้าน ซื้อรถ เป็นต้น เมื่อเราหาหลักฐานพอสมควรแล้วเราก็ไปยื่นธนาคาร ธนาคารเขาก็อนุมัติ เมื่อธนาคารอนุมัติเราก็ดีใจนะที่ยืมเงินได้ แต่ความดีใจที่เรายืมเงินได้นี่มันซ่อนความหวาดหวั่นที่เราจะต้องเอาเงินไปคืน มันจะมีความทุกข์ที่เราจะต้องหาเงินพร้อมทั้งดอกที่เราจะต้องคืนเขา นี่มันเป็นความทุกข์นะ ความสุขที่มันมีความทุกข์ซ่อนอยู่

         ชีวิตของคนก็เหมือนกัน มีความสุข แต่ว่ามีความทุกข์ซ่อนอยู่ เพราะอะไร เพราะเราต้องแก่ เราต้องเจ็บ เราต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจ เราต้องพลัดพรากจากแม่ เราต้องพลัดพรากจากพ่อ เราต้องพลัดพรากจากลูกจากเมีย เราต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจ เราต้องละทิ้งสรีระร่างกายของเรา ในเมื่อร่างกายแตกตายทำลายขันธ์ไป นี่ ชีวิตที่มีความสุขแต่ว่าความทุกข์มันสุมอยู่ข้างใน ทุกชีวิตเป็นอย่างนั้น

         เพราะฉะนั้น เราจะหาความสุขได้อย่างไร เราจะมีความสุขที่ความทุกข์ซ่อนอยู่เนี่ย เราจะปิดบังตัวเองได้อย่างไร เพราะเรารู้ตามความเป็นจริงอย่างนี้แล้ว เพราะฉะนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์จึงตรัสว่า เปรียบเสมือนกับของที่ยืมเขามา ของที่ยืมเขามาต้องใช้คืนนะ เขาต้องเอาคืนไป ร่างกายของเราก็เหมือนกัน อวัยวะของเราก็เหมือนกัน ต้องคืนสู่ความเป็นธรรมชาตินะ ดินต้องคืนสู่ดิน น้ำต้องคืนสู่น้ำ ไฟต้องคืนสู่ไฟ ลมต้องคืนสู่ลม นี่เราต้องคืนเขานะ เราจะมายึดมั่นถือมั่นไม่ได้ เพราะฉะนั้น ความสุขที่ซ่อนความทุกข์เนี่ย มันจึงเปรียบเสมือนกับของที่ยืมเขา มามันไม่แน่นอน

         นอกจากนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ตรัสว่า รางวัลของมนุษย์นั้น มันเป็นของนิดหน่อย เหมือนกันกับหมาแทะกระดูก เหมือนกับหมาตัวหนึ่งเนี่ย มันอดอาหารนาน เมื่ออดอาหารมานานๆ แล้วเนี่ย มีบุรุษใจดีคนหนึ่งทิ้งชิ้นกระดูกลงไป แต่ชิ้นกระดูกนั้นก็มีเนื้อติดอยู่นิดหน่อย แต่เป็นเนื้อแห้งๆ เนื้อนิดหน่อยที่มันติดอยู่ แล้วก็มีคราบเลือดนิดหน่อยติดอยู่ที่กระดูกนั้น โยนลงไปให้หมา หมาตัวนั้นก็ดีอกดีใจอย่างมาก แล้วก็คาบกระดูกวิ่งไปหาที่อันเหมาะสม แล้วก็แทะกระดูกเลียกระดูกอยู่นั่นแหละ กลืนกินน้ำลายตัวเอง ก็คิดว่ามันเอร็ดอร่อยมาก ถ้ามีหมาตัวอื่นจะมาแย่งก็ต้องกัดกันเป็นพัลวัน ก็แย่งเนื้อแย่งกระดูกกัน หมาตัวนั้นมันจะอิ่มขนาดไหน ลองลึกดูสิ เนื้อมันไม่มี มันติดนิดๆ หน่อยๆ แล้วก็มีแต่คราบเลือด มันก็กลืนกินน้ำลายตัวเองนั่นแหละ กลืนกินก็นึกว่าอร่อยมากมาย ลองคิดดูสิว่า หมาตัวนั้นจะอิ่มท้องไหม มันจะมีความอิ่มหนำสำราญไหม มันไม่มีความอิ่มหนำสำราญนะ กินแล้วก็ไม่หายหิว

         บุคคลผู้ที่เกิดขึ้นมาเป็นมนุษย์ก็เหมือนกัน บริโภครูปก็ดี บริโภคเสียงก็ดี บริโภคกลิ่นก็ดี บริโภครสก็ดี บริโภคสัมผัสต่างๆ ก็ดี ก็ไม่รู้จักอิ่มไม่รู้จักพอ ยิ่งกินยิ่งหิว ยิ่งดื่มยิ่งกระหาย ยิ่งเสพยิ่งกระหาย เหมือนกับหมามันแทะกระดูกนั่นแหละ ไม่มีวันอิ่ม จะแทะตั้งแต่วันเกิดจนถึงวันตายมันก็ไม่อิ่ม เพราะไม่เป็นสภาพที่หมานั้นจะอิ่มได้

         บุคคลผู้บริโภครูปก็ดี บริโภคเสียง บริโภคกลิ่น บริโภครส บริโภคสัมผัสทั้งหลายทั้งปวงก็ดี ก็ไม่มีความอิ่มหนำสำราญได้เหมือนกัน จะบริโภคมากมายขนาดไหนก็ตาม เพราะฉะนั้น รางวัลของมนุษย์เนี่ย เป็นของนิดหน่อย ถ้าเรามาคิดถึงรางวัลของญาติโยม ของคนทั่วไปที่เกิดขึ้นมาในโลกใบนี้นะ รางวัลของเขาก็จะประมาณนี้แหละ แต่คนทั้งหลายทั้งปวงก็ยินดีที่จะต้องเวียนว่ายตายเกิด  ขอให้ข้าพเจ้าได้มาเกิดเป็นคู่ผัวตัวเมียกัน ขอให้ข้าพเจ้าได้มาเกิดเป็นลูกของพ่อของแม่ ได้มาเกิดเป็นเนื้อคู่กัน อะไรทำนองนี้ ขอให้ข้าพเจ้าได้เกิดเป็นเจ้าฟ้ามหากษัตริย์ ขอให้ข้าพเจ้าได้เป็นผู้มีทรัพย์มาก มียศถาบรรดาศักดิ์มาก มีฤทธิ์มาก มีปัญญามาก เป็นต้น อันนี้เรียกว่ายังปรารถนาวัฏฏะไปเรื่อย ๆ อยู่ในลักษณะอย่างนี้

         บุคคลผู้ที่ปรารถนานิพพานมันมีน้อยนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสว่า สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงนั้นย่อมวิ่งเลาะตามชายฝั่ง แต่จะข้ามซึ่งห้วงแห่งมหรรณพภพสงสาร จะข้ามซึ่งแม่น้ำนั้นน่ะ ไม่ค่อยข้าม วิ่งเลาะไปเรื่อยนั่นแหละ เหมือนกับที่คนเราทั้งหลายทั้งปวง ปรารถนามนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ ปรารถนาความร่ำรวย ปรารถนาความสวยความงาม ปรารถนายศถาบรรดาศักดิ์ ปรารถนาเงินทอง แต่ไม่ปรารถนาพระนิพพาน ก็วิ่งเลาะตามชายฝั่งไปอย่างงั้น เพราะฉะนั้น บุคคลผู้ที่เกิดมาเป็นมนุษย์นั้นน่ะ จึงยินดีกับของนิดหน่อย นี่เป็นรางวัลนะ เป็นรางวัลของคนทั่วไป

         แต่รางวัลของบุคคลผู้ที่มานับถือพุทธศาสนานั้น ไม่ใช่รางวัลนิดหน่อยอย่างนี้นะ รางวัลของบุคคลผู้มานับถือพุทธศาสนานั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก็ทรงตรัสว่า รางวัลนั้นคือการให้ทาน รางวัลนั้นคือการรักษาศีล รางวัลนั้นคือการเจริญสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐานนะ

         คือบุคคลผู้ที่เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วมีโอกาสมานับถือพุทธศาสนา มีโอกาสมาให้ทานเนี่ย ถือว่าเป็นรางวัล เป็นกำไรของชีวิตนะ เทวดากับมนุษย์ของเรานั้นน่ะต่างกันนะ เทวดานั้นมีความเลิศ มีความประเสริฐกว่ามนุษย์ ด้วยฐานะก็คือ

         ๑. รูปอันเป็นทิพย์

         ๒. อาหารอันเป็นทิพย์

         ๓. อายุอันเป็นทิพย์

         มีรูปอันเป็นทิพย์ มีอาหารอันเป็นทิพย์ มีอายุอันเป็นทิพย์ แต่มนุษย์เรานั้นก็มีสิ่งที่เกินกว่าเทวดาก็คือให้ทานได้ รักษาศีลเจริญภาวนา บรรลุมรรคผลนิพพานได้ ทำบุญทำทาน อดกลั้นความโกรธ ความโลภ ความหลง เจริญสมถกรรมฐาน เจริญวิปัสสนากรรมฐานได้ ดีกว่าเทวดา  เรานึกดูว่าเราจะเอาอะไร ถ้าจะให้เราไปเกิดเป็นเทวดาหรือมาเกิดเป็นมนุษย์เนี่ย เราจะเลือกเกิดเป็นอะไรดี

         ถ้าเราเลือกเกิดเป็นเทวดาเราก็จะมีอายุอันเป็นทิพย์ มีรูปอันเป็นทิพย์ มีอาหารอันเป็นทิพย์ แต่เราก็จะเพลิดเพลินอยู่กับทิพพสมบัติ อารมณ์อันเป็นทิพย์ อาหารอันเป็นทิพย์อยู่อย่างนั้นแหละ วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า เดือนแล้วเดือนเล่า เหมือนกับเราเพลิดเพลินในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ตอนที่เรามีอายุ ๑๕ ปี ๑๕ ปีนี่แหละ มีความเพลิดเพลินในสิ่งเหล่านั้น

         แต่มนุษย์เรานั้นมีความประเสริฐกว่าเทวดา ก็คือมีโอกาสให้ทาน รักษาศีล เจริญสมถะ เจริญวิปัสสนา สามารถรักษาศีล สามารถเจริญสมถะได้ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน อรูปฌาน สามารถบรรลุมรรคผลนิพพานสำเร็จเป็นพระโสดาบันเป็นต้นได้ ถ้าเราเป็นผู้มีสติมีปัญญา เราลองนึกดูสิว่า เราจะเลือกเกิดเป็นเทวดา หรือเราจะเลือกเกิดเป็นมนุษย์ ลองนึกดูสิ

         ถ้าเราไม่หลงจนเกินไป เราก็จะไม่ได้แก่เปล่านะ เราก็จะแก่ไปด้วยทาน แก่ด้วยศีล แก่ด้วยสมาธิ แก่ด้วยมรรคด้วยผลนะ แต่ถ้าเราไม่รู้จักธรรมะ ไม่รู้จักพุทธศาสนา เราอาจจะแก่เปล่านะ โบราณว่า คนโง่แก่เปล่าเหมือนโคถึก มากแต่เนื้อหนังมังสา แต่ปัญญาหาเพิ่มขึ้นไม่ โบราณท่างกล่าวอย่างนั้นนะ เราทั้งหลายทั้งปวงผู้มีโอกาสได้มาประพฤติปฏิบัติธรรม มีโอกาสให้ทาน ชื่อว่าประเสริฐกว่าเทวดานะ เรามีโอกาสรักษาศีล เราประเสริฐกว่าเทวดา เทวดาก็ยังอิจฉาเรา อยากจะทำเหมือนเรา อยากจะมีโอกาสให้ทานกับพระคุณเจ้าอยู่บ่อยๆ อยากจะทำทานอยู่บ่อยๆ อยากจะใส่บาตรอยู่บ่อยๆ แต่มันก็เป็นไปได้ยาก เพราะมันคนละภพคนละภูมิกัน เขาก็อยู่ภูมิของเขา เราก็อยู่ภูมิของเรา

         นอกจากนั้นเขาก็อยากรักษาศีล แต่เนื่องด้วยในอารมณ์อันเป็นทิพย์อันประณีต มันก็ทำให้ลุ่มหลง ทำให้เพลิดเพลิน ทำให้ลืมศีลลืมธรรมลืมทานลืมภาวนาไป ความเป็นมนุษย์ของเราก็มีโอกาสเจริญสมถะเจริญวิปัสสนากรรมฐาน อันนี้ก็ถือว่าเป็นรางวัลของมนุษย์นะ ตามหลักของพุทธศาสนา

         แต่ถ้าเป็นรางวัลสูงขึ้นไป ก็คือเราต้องยังสมาธิสมาบัติให้เกิดขึ้นมาให้ได้ แต่ถ้าเราอยากจะได้รางวัลสูงขึ้นไปกว่านั้นอีก ที่เทวดาทั้งหลายทั้งปวงกระหยิ่มดีใจอยากได้ ก็คือการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ภิกษุใดที่เจริญวิปัสสนากรรมฐาน เทวดาทั้งหลายทั้งปวงกระหยิ่มยินดีกับภิกษุรูปนั้นอย่างยิ่งนะ จะเป็นพระก็ดี จะเป็นเณรก็ดี จะเป็นปะขาวก็ดี จะเป็นแม่ชีก็ดี จะเป็นญาติโยมก็ดี เจริญวิปัสสนากรรมฐานเนี่ย เทวดาทั้งหลายทั้งปวงก็กระหยิ่มยินดีอย่างยิ่งนะ

         ท่านกล่าวว่า เทวดาย่อมกระหยิ่มยินดีต่อบุคคลผู้เจริญวิปัสสนากรรมฐาน เหมือนสัตว์นรกทั้งหลายทั้งปวงที่อยู่ในนรกรู้ข่าวว่าบุคคลคนนี้พ้นจากนรกแล้วไปเกิดในสวรรค์ สัตว์นรกทั้งหลายทั้งปวงย่อมยินดีสาธุการ รู้ว่าสัตว์นรกตนนี้พ้นจากนรกแล้วมาเกิดในมนุษย์ไปเกิดบนสวรรค์ ย่อมยินดีกับสัตว์เหล่านั้น มีความยินดีมีความปราโมทย์ คิดว่า เมื่อไหร่เราจะพ้นจากนรกเสียที เมื่อไหร่เราจะพ้นจากความทุกข์ในนรก เมื่อไหร่เราจะพ้นจากไฟในนรกอันร้อนแรง เมื่อไหร่เราจะพ้นจากหอกที่เขาทิ่มแทง เมื่อไหร่เราจะพ้นจากเครื่องจองจำ ขึ้นต้นนิ้วหนาม มีหมาตัวเฒ่าช้างสาร มีฟันเหมือนกับมีดโกน มีแร้งตัวเท่าช้างสาร มีจะงอยปากเหล็ก คอยจิกคอยแทงอยู่เป็นประจำ ก็จะทนทุกข์ทรมาน สัตว์นรกทั้งหลายทั้งปวงก็จะได้กล่าวว่า เมื่อไหร่หนอ ข้าพเจ้าจะได้พ้นจากนรกสักที เมื่อรู้ว่าคนอื่นไปเกิดในมนุษย์ไปเกิดบนสวรรค์ก็ยินดีอย่างยิ่ง สัตว์นรกทั้งหลายทั้งปวงเนี่ย ยินดีต่อบุคคลผู้ไปเกิดในมนุษย์สวรรค์อย่างนี้นะ เทวดาก็ยินดีต่อบุคคลผู้เจริญวิปัสสนากรรมฐานอย่างนั้นเหมือนกัน เหมือนกับสัตว์นรกผู้ยินดีต่อบุคคลผู้ไปเกิดในมนุษย์ในสวรรค์นั่นแหละ

         เพราะฉะนั้น เราทั้งหลายทั้งปวงผู้มาประพฤติปฏิบัติธรรม เราก็ยินดีในภพในภูมิของเรา มีโอกาสดีที่เรามีโอกาสได้มาประพฤติปฏิบัติธรรม มาสร้างกำไรแห่งชีวิต กำไรแห่งชีวิตไม่ใช่รูป เสีย กลิ่น รส สัมผัส อย่างที่ว่ามานะ อันนั้นเป็นความยินดีนิดหน่อย เป็นรางวัลนิดหน่อยที่พญามารมันให้เรามานะ มันเป็นพวงดอกไม้ของพญามาร มันเป็นหลุมพรางของพญามาร มันเป็นอาหารของพญามารที่เสริบให้เรา แต่ว่าสิ่งที่เป็นรางวัลที่แท้จริงคือการให้ทานนี่แหละ การรักษาศีล การเจริญสมถะ การเจริญวิปัสสนา ตลอดถึงมรรคผลพระนิพพาน เป็นรางวัล เพราะฉะนั้น ก็ขอให้เราทั้งหลายทั้งปวงอย่าประมาทในการประพฤติปฏิบัติธรรม อย่าเห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า อย่าเห็นแก่กาลเวลาที่มันยังเหลืออยู่ว่าเรายังไม่แก่ เรายังมีร่างกายแข็งแรง เรายังมีทรัพย์สมบัติมากอยู่ ใครจะรู้ความตายในวันพรุ่งได้ เพราะฉะนั้น ก็ขอให้เราทั้งหลายทั้งปวงตั้งอยู่ในความไม่ประมาท วันนี้อาตมภาพได้กล่าวธรรมมาก็เห็นว่าพอสมควรแก่เวลา.