ใช้ชีวิตให้เกิดประโยชน์

ใช้ชีวิตให้เกิดประโยชน์

พระภาวนาสุตาภิรัต (ชอบ พุทฺธสโร)

(๒๖ ธ.ค. ๖๖)

            ในทางพระพุทธศาสนาของเรานั้น ท่านกล่าวว่า สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา สังขารทั้งหลายทั้งปวงเป็นของไม่เที่ยง สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขา สังขารทั้งหลายทั้งปวงมันเป็นทุกข์ ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา สิ่งทั้งหลายทั้งปวง ทั้งที่เป็นสังขารก็ดี ทั้งที่ไม่เป็นสังขารก็ดี สังขารที่มีใจครองหรือไม่มีใจครอง เป็นต้น  สังขารทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้นก็เป็นอนัตตา

         สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา สังขารทั้งหลายทั้งปวงเป็นของไม่เที่ยง ก็คือสังขารทั้งหลายทั้งปวง จะเป็นสังขารของเราก็ดีสังขารของผู้อื่นก็ดี ตลอดถึงสังขารที่มีใจครองหรือไม่มีใจครอง เช่น โบสถ์ วิหาร บ้านช่องเรือนชาน อะไรต่างๆ เหล่านี้ ก็ถือว่าเป็นสังขารที่ไม่มีใจครอง สิ่งเหล่านี้เมื่อปลูกไว้นานมันย่อมคร่ำคร่าฉลำฉลาย เหมือนกับร่างกายของเรานั่นแหละ เมื่อเกิดมานานมันก็มีความแก่มีความชราไปตามลำดับ

         เพราะฉะนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสความไม่เที่ยงแห่งสังขารทั้งหลายทั้งปวง เหมือนกับตอนหนึ่ง ในสมัยนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสกับพระ อานนท์ว่า ดูก่อนอานนท์ สังขารของเรานั้นน่ะ ชราภาพแล้ว สังขารของพระองค์นั้นเสื่อมลงแล้ว พระองค์นั้นมีอายุ ๘๐ ปีแล้ว สังขารของพระองค์นั้นเปรียบเสมือนกับเกวียนเก่าที่ซ่อมด้วยไม้ไผ่ ในคราวใดที่พระองค์ทรงเข้าสมาบัติอันหานิมิตไม่ได้ คือพระองค์ทรงเข้าอนิมิตตเจโตสมาธิ ในคราวนั้นทุกขเวทนาในสังขารมันระงับไป  ความสุขย่อมบังเกิดขึ้นแก่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดูก่อนอานนท์ เธอจงอย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่ง พระองค์ทรงตรัสอย่างนั้นนะ อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง ให้มีธรรมเป็นที่พึ่ง

         เพราะฉะนั้น เมื่อรู้ว่าสังขารทั้งหลายทั้งปวงมันเป็นของไม่เที่ยง แม้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์จะมีบุญวาสนามี บารมีสั่งสมอรมมามากขนาดไหนก็ตาม สังขารของพระองค์จะเป็นสังขารที่บริสุทธิ์ เป็นสังขารที่ปราศจากกิเลส ปราศจากความโกรธ ความโลภ ความหลง ราคะ มานะ ทิฏฐิ ขนาดไหนก็ตาม สังขารนั้นก็เป็นของไม่เที่ยง นี่เราลองนึกดูสิว่าสังขารของพระพุทธเจ้าเนี่ย เป็นสังขารที่บริสุทธิ์ เป็นสังขารที่ปราศจากกิเลส แต่ว่าสังขารนั้นก็ยังเป็นของไม่เที่ยง สังขารของพระพุทธเจ้านั้นเป็นที่กราบไหว้ของมนุษย์และเทวดาทั้งหลายทั้งปวง มนุษย์ เทวดา พรหม ทั้งหลายทั้งปวง ได้กราบไหว้สังขารของพระองค์ ก็ประสบกับบุญอันยิ่งใหญ่ ไพศาล ประสบกับสิ่งที่เป็นกามาวจรบุญเป็นต้นมากมาย ถึงกระนั้นสังขารของพระองค์ผู้มีบุญญาธิการมากถึงขนาดนั้นก็ยังเป็นของไม่ เที่ยง เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

         เพราะฉะนั้น สังขารของเราก็ดี สังขารของคนอื่นก็ดี ก็เป็นของไม่เที่ยง เหมือนกับที่เราจุดเทียนนั่นแหละ ขณะที่เราจุดเทียนเนี่ย แสงเทียนมันเปล่งประกายขึ้นมา ในขณะที่แสงเทียนมันเปล่งประกายขึ้นมา ไฟมันก็ไหม้ไส้เทียนไปด้วย ไหม้ไขเทียนไปด้วย ขณะที่แสงมันเปล่งสวยงาม แต่ในทางกลับกัน ไส้เทียนก็ลดลงไปน้อยลงไป ไขเทียนก็ลดลงไปน้อยลงไป ในที่สุดไส้มันก็หมด ไขเทียน มันก็หมด เทียนนั้นมันก็ดับ

         ชีวิตของเราก็เหมือนกัน ขณะที่ชีวิตของเรามันเจริญเติบโต ขึ้นมาเนี่ย บุญที่เราสร้างสมอบรมมาก็ลดลงไปหมดลงไป ชีวิตของเรามันก็แก่เข้าไปอีก ชราเข้าไปอีก เมื่ออายุของเรามันเพิ่มขึ้น อายุของเราก็ถูกเผาผลาญไป ชีวิตของเรามันก็สั้นลงๆ ในที่สุด ชีวิตของเราก็ต้องแตกดับ เหมือนกับไขเทียนมันหมดไปไส้เทียนมันหมดไปนั่นแหละ เพราะฉะนั้น ให้เรานึกว่าชีวิตของเรานั้นก็เปรียบเเหมือนกับแสงเทียน มันตั้งอยู่ไม่ได้นาน ฉันใด ชีวิตของเราก็ตั้งอยู่ไม่ได้นาน ฉันนั้นเหมือนกัน

         ก่อนที่แสงเทียนมันจะดับไป เราก็สามารถที่จะเอาแสงเทียน นั้นมาส่องอ่านหนังสือ อ่านพระไตรปิฎก หรือว่าเราเอาแสงเทียนนั้นมาส่องทำอาหารทำกับข้าว หรือเราจะเอาแสงเทียนนั้นไปประกอบการงานต่างๆ ในการทำมาหากิน หรือเราจะเอาแสงเทียนนั้นมาเดินจงกรมมานั่งภาวนา แล้วแต่ว่าบุคคลนั้นจะเอาแสงเทียน นั้นไปทำอะไร บางคนก็เอาแสงเทียนนั้นไปค้าไปขาย บางคนก็เอาแสงเทียนนั้นไปทำมาหากิน บางคนก็เอาแสงเทียนมาเดินจงกรมมานั่งภาวนาเป็นต้น ในขณะที่แสงเทียนมันยังเปล่งแสงอยู่นั่นแหละ ก็เอาไปทำประโยชน์ได้หลายอย่าง

         ในขณะที่เรามีชีวิตอยู่ เราจะใช้ชีวิตของเราไปทำอะไร ไปฆ่าสัตว์ ไปลักทรัพย์ ไปประพฤติผิดในกาม หรือว่าไปทำมาหากิน หรือว่าไปให้ทาน ไปรักษาศีล หรือว่าเราจะนำแสงชีวิตของเราไปทำอะไรให้มันเกิดประโยชน์ ก็แล้วแต่บุคคลผู้ที่เป็นเจ้าของชีวิต

         ถ้าเรานำชีวิตไปทำมาหากินไปค้าไปขายไปทำไร่ไถนาไปรับราชการเป็นทหารเป็นตำรวจอะไรต่างๆ อันนี้เรียกว่าเราเอาแสงสว่างคือชีวิตของเราไปประกอบการทำมาหากิน การทำมาหากิน จะเป็นตำรวจ จะเป็นทหาร จะเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐี อะไรต่างๆนั้น องค์สมเด็จพระมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก็ทรงตรัสว่า อนริยปริเยสนา การแสวงหาอันไม่ประเสริฐ คือบุคคลมีความเกิดเป็นธรรมดา มีความแก่เป็นธรรมดา มีความเจ็บเป็นธรรมดา มีความตายเป็นธรรมดาอยู่แล้ว เรายังแสวงหาสิ่งที่จะให้เกิดเป็นธรรมดาอีก ยังแสวงหาสิ่งที่ให้มันมีความเจ็บความตายเป็นธรรมดาอีก องค์สมเด็จพระสัมมาพทธเจ้าตรัสว่าไม่เป็นการแสวงหาอันประเสริฐนะ อนริย ปริเยสนา แปลว่า การแสวงหาอันไม่ประเสริฐ ก็คือแสวงหาสิ่งที่จะให้เราไปเกิดในภพภูมิต่างๆ ทำให้เราต้องท่องเที่ยวไปในมนุษย์ ในเทวดา ในพรหม ในนรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน

         เพราะฉะนั้น เราทั้งหลายทั้งปวงผู้ที่มีชีวิตอยู่เนี่ย ก็ต้องพยายามใช้ชีวิตของเราให้มันมีค่าที่สุด มีประโยชน์ที่สุด ก่อนชีวิตของเราจะมลายสิ้นไป เพราะฉะนั้น ท่านจึงให้เราทั้งหลายทั้งปวงนั้นน่ะ ไม่ให้ประมาท ประโยชน์ในโลกนี้ ประโยชน์ในโลกหน้า ประโยชน์อย่างยิ่งคือพระนิพพาน ก็อยู่ในอัตภาพอันยาววาหนาคืบกว้างศอกของเรานี่แหละ ญาติโยมทั้งหลายทั้งปวง ครูบาอาจารย์ทั้งหลายทั้งปวง ผู้เป็นเจ้าของชีวิตของตน ก็ควรที่จะนำชีวิตของตนนั้นไปสู่หลักชัย หลักชัยก็คือการตรัสรู้เนี่ย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงไปปักธงชัยไว้ คือพระองค์ทรงบรรลุพระ อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ เมื่อพระองค์ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว พระองค์ก็ทรงแสดงโพธิปักขิยธรรมทั้ง ๓๗ ประการ ทำอันเป็นฝักฝ่ายแห่งการตรัสรู้ให้ฟัง เราทั้งหลายทั้งปวงก็ประพฤติปฏิบัติตามนั้น คือตามธรรมที่พระองค์ทรงตรัสไว้ ก็คือสติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕  โพชฌงค์ ๗ มรรคมีองค์ ๘ อันนี้เป็นธรรมอันเป็นฝักฝ่ายแห่งการ ตรัสรู้

         เมื่อพระองค์ทรงตรัสรู้แล้วก็แสดงธรรม เราทั้งหลายทั้งปวงก็ประพฤติปฏิบัติธรรมตามธรรมที่พระองค์ทรงตรัสไว้ อันนี้เป็นอริยปริเยสนานะ เป็นการแสวงหาอันประเสริฐ ญาติโยมทั้งหลายทั้งปวงที่มาจากใกล้ก็ดีมาจากไกลก็ดี เรามาแสวงหาทาน แสวงหาศีล แสวงหาสมาธิ แสวงหาวิปัสสนา แสวงหามรรคผลพระนิพพาน ถือว่าเป็นการแสวงหาอันประเสริฐนะ สังขารของเรานั้น ท่านกล่าวว่า เปรียบเสมือนกับภาพลวงตา หรือเปรียบเสมือนกับพยับแดด พยับแดดเวลาเรามองไปไกลๆ ในเวลาแดดมันจ้าๆ เนี่ย เหมือนกับว่าแดดนั้นมันมีตัวมีตนนะ เหมือนมันเป็นกลุ่มเป็นก้อน บางครั้งก็เหมือนน้ำ บางครั้งก็เหมือนเปลวลอยอยู่บนอากาศ อะไรทำนองนี้ แต่เวลาเราเดินไปใกล้ๆ เนี่ย มันไม่มีตัวมีตนนะ พยับแดด เวลาเราเดินไปใกล้ๆ มันไม่มีตัวมีตน มันมองไม่เห็น มือก็จับไม่ได้ ไขว่คว้าเอาก็เอาไม่ได้ เพราะมันไม่มีตัวมีตน

         ชีวิตของเราก็เหมือนกัน  คล้ายๆ จะมีตัวมีตนนะ คล้ายๆ ว่าจะมีตัวของเรา คล้ายๆ ว่าจะมีสามี คล้ายๆ ว่าจะมีภรรยา คล้ายๆ ว่าจะมีลูก คล้ายๆ ว่าจะมีหลาน อะไรทำนองนี้ แต่เอาเข้าจริงๆ เมื่อชีวิตของเรามันแก่เฒ่าไปชราไป มีความเจ็บมีความปวดเกิดขึ้นมา สังขารมันก็เริ่มบ่งบอกว่าไม่ใช่ของเราแล้ว หูเคยได้ยินก็ ไม่ได้ยินแล้ว ตาเคยได้เห็นชัดเจนก็ไม่ได้เห็นแล้ว จมูกเคยดมกลิ่นได้ดี ก็ดมกลิ่นไม่รู้เรื่องแล้ว ลิ้นเคยรับรสได้ดี ก็เป็นลิ้นที่ไม่รับรส ไม่รู้เรื่องแล้ว นี่ในลักษณะของความเสื่อมไปของสังขารนะ

         เพราะฉะนั้น ความไม่เที่ยงของสังขารเนี่ย มันจึงเป็นสิ่งที่เราทั้งหลายทั้งปวงต้องกระทำให้แจ้ งถ้าเราไม่แจ้งในสังขารทั้งหลายทั้งปวงเนี่ย เราก็จะหลงนะ หลงรัก หลงชัง หลงดีใจ หลงเสียใจ หลงทุกสิ่งทุกอย่างที่มันเกิดขึ้นมานะ นี่ถ้าเราไม่กระทำให้แจ้งซึ่งความไม่เที่ยงของสังขารทั้งหลายทั้งปวง เราคิดว่าเป็นของเรานะ  มันไม่ใช่ ตาก็ไม่ใช่ของเรา หูก็ไม่ใช่ของเรา ภรรยาสามีก็ไม่ใช่ของเรานะ เวลาเราป่วยจริงๆ จะตายจริงๆ ไม่เห็นคนไหนตายแทนเรานะ

         เราทั้งหลายทั้งปวงผู้มาประพฤติปฏิบัติธรรมเนี่ย เรามาแสวงหาทรัพย์อันเป็นของเราจริงๆ เรามาแสวงหาสมบัติอันเป็นของเราจริงๆ ไม่ได้เป็นของคนอื่น เพราะฉะนั้น เราทั้งหลายทั้งปวงผู้มาพิจารณาถึงสังขารมันเป็นของไม่เที่ยงแล้วเนี่ย ก็รีบสร้างสมอบรมคุณงามความดี สร้างบารมีให้ยิ่งๆ ขึ้นไป

         นอกจากนั้น บุคคลผู้ประพฤติปฏิบัติธรรมยังต้องพิจารณาถึงความเป็นทุกข์ของสังขารนะ ว่าสังขารทั้งหลายทั้งปวงมันเป็นทุกข์ เรามีอะไรเราก็เป็นทุกข์อย่างนั้นนะ เรามีตาก็เป็นโรคตา เรามีหูก็เป็นโรคหู เรามีปากมีจมูก ก็เป็นโรคปากโรคจมูก เพราะฉะนั้น ร่างกายของเราเนี่ยมันจึงเป็นทุกข์ มันทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ มัน ต้องเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลานะ ถ้าไม่เปลี่ยนแปลงร่างกายสังขารของเราก็อยู่ไม่ได้ เพราะว่าสังขารของเรามันอยู่ด้วยล้อทั้ง ๔ ก็คืออยู่ด้วยอิริยาบถยืน อยู่ด้วยอิริยาบถเดิน อยู่ด้วยอิริยาบถนั่ง อยู่ด้วยอิริยาบถนอน ยืนเสร็จแล้วก็เหนื่อยแล้วก็นั่ง นั่งเสร็จแล้วก็เดิน เดินเสร็จแล้วก็นอน เป็นต้น

         เพราะฉะนั้น สังขารของเรามันจึงเป็นทุกข์ ตื่นขึ้นมาต้องล้างหน้าแปรงฟัน ต้องอาบน้ำชำระร่างกาย ต้องดื่มน้ำต้องรับ ประทานอาหารฉันอาหารอะไรต่างๆ มันเป็นทุกข์ในลักษณะนั้นนะ ฉันเช้าแล้วก็ยังไม่จบ ต้องมาฉันเพล ฉันเพลแล้วก็ยังไม่จบ ถ้าเป็นคฤหัสถ์ญาติโยมก็ต้องรับประทานอาหารเย็น ถ้าเป็นพระก็ดื่มน้ำปานะ อะไรทำนองนี้ อันนี้เป็นลักษณะของความทุกข์ของสังขารของเรานะ เวลาเราประพฤติปฏิบัติธรรม สิ่งที่สำคัญที่สุดเราต้องปลงเสียก่อนนะ ปลงว่าสังขารของเรามันเป็นอนิจจัง เป็นทุกขัง เป็นอนัตตา ต้องพิจารณาสังขารของเราจนสังขารของเรามันสงบนะ หลังจากนั้นมาเราค่อยลงมือเดินจงกรมนั่งภาวนา การประพฤติ ปฏิบัติธรรมต้องพิจารณาอย่างนี้นะ

         นอกจากนั้นก็พิจารณาสังขารทั้งหลายทั้งปวงเป็น อนัตตา  ดังที่ท่านกล่าวว่า สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมทั้งหลายทั้งปวงเป็น อนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ เมื่อธรรมทั้งหลายทั้งปวงมันเป็นอนัตตาบังคับบัญชาไม่ได้เนี่ย เราจะบังคับโลกนี้ไม่ให้มันหนาวก็บังคับไม่ได้ บังคับโลกไม่ให้มันร้อนมันก็บังคับไม่ได้ บังคับไม่ให้ฝนตกมันก็ บังคับไม่ได้ เพราะว่ามันเป็นอนัตตา เราบังคับไม่ให้มันแก่ไม่ให้มันเจ็บไม่ให้มันตาย มันก็บังคับไม่ได้ เพราะว่ามันเป็นอนัตตา นี่มัน สำคัญอย่างนี้นะ

         ถ้าผู้ใดเห็นโดยความเป็นจริงว่า ร่างกายของเรามันเป็นอนิจจัง เป็นทุกขัง เป็นอนัตตา ถือว่าบุคคลนั้นเป็นผู้ที่เข้าใจในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีโอกาสที่จะได้บรรลุมรรคผลพระนิพพาน ถ้าเราพิจารณาธรรมในลักษณะอย่างนี้บ่อยๆ เพราะฉะนั้น การประพฤติปฏิบัติธรรมเนี่ย สำคัญที่สุดเราก็ต้องพิจารณาสังขารทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนิจจัง เป็นทุกขัง เป็นอนัตตา เมื่อเราเห็นร่างกายของเราเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา โดยปริยัติธรรมแล้วเนี่ย เราก็น้อมเข้าสู่ภายใน หลังจากนั้นมาเราก็พิจารณาโดยภายในด้วยกำลังของสมาธิ เราก็จะทราบชัดในเรื่องความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มากขึ้น

         นอกจากนั้นเราก็พิจารณาด้วยกำลังของวิปัสสนากรรมฐาน ให้พิจารณาว่าสังขารทั้งหลายทั้งปวงมันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันบังคับบัญชาไม่ได้ นี่ถ้าเราพิจารณาในลักษณะอย่างนี้แล้วเนี่ย ก็จะอาศัยสมาธินั่นแหละเป็นบาทของการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน การเจริญวิปัสสนากรรมฐาน เราต้อง พิจารณาอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เพราะสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นเป็นอนิจจังคือไม่เที่ยง เป็นทุกข์ทนอยู่ไม่ได้ แล้วก็เป็นอนัตตานะ  อารมณ์ของวิปัสสนาก็คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นั่นแหละ

         ถ้าผู้ใดพิจารณาการยืน การเดิน การนั่ง การนอน การกิน การดื่ม เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ผู้นั้นชื่อว่าเจริญวิปัสสนากรรมฐานนะ เราจะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอน จะทำอะไรต่างๆ ถ้าเราพิจารณาเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็แสดงว่าเราเจริญวิปัสสนากรรมฐานนะ เพราะฉะนั้น การเจริญวิปัสสนากรรมฐานก็คือการพิจารณาให้เห็นสิ่งทั้งหลายทั้งปวงว่ามันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตานั่นแหละ ก็จะเป็นวิถีทางดำเนินไปสู่การบรรลุมรรคผลพระนิพพาน

         ถ้าเราพิจารณาบ่อยๆ พิจารณาเรื่อยๆ พิจารณาเนืองๆ ก็จะทำให้จิตใจของเรามันอยู่เย็นเป็นสุข แต่ถ้าเราไม่พิจารณาเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จิตใจของเราก็ฝักใฝ่ในเรื่องความโกรธ ความโลภ ความหลง ฝักใฝ่ในเรื่องลาภ ในเรื่องยศ ในเรื่องสรรเสริญ ในเรื่องสุข อะไรต่างๆ แต่ถ้าเราพิจารณาถึงสิ่งทั้งหลายทั้งปวงมันเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาแล้วเนี่ย มันก็ปล่อยวางสิ่งทั้งหลายทั้งปวงได้ ไม่อยากจะได้โน้น ไม่อยากจะได้นี้ เพราะว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงมันก็เป็นของนิดหน่อย เป็นของชั่วคราวเท่านั้นเอง ได้มันก็ต้องตาย ไม่ได้มันก็ต้องตายอยู่ดีนั่นแหละ ถ้าเราพิจารณาในความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันก็จะเกิดอุปการะแก่การปล่อยวางในลักษณะอย่างนี้

         วันนี้ได้กล่าวธรรมะมาก็เห็นว่าพอสมควรแก่เวลา.