ร่างกายเหมือนรถ จิตเหมือนคนขับ

ร่างกายเหมือนรถ จิตเหมือนคนขับ

พระภาวนาสุตาภิรัต (ชอบ พุทฺธสโร)

(เทศน์ที่วัดพิชโสภาราม ๑ มกราคม ๒๕๖๕)

            วันนี้ก็เป็นวันปีใหม่ เป็นวันปฐมบท เป็นวันเริ่มแรกของปี๒๕๖๕ ขอให้เราทั้งหลายทั้งปวงได้มีสัจจะ มีความจริงใจในการดำรงชีวิต เราจะดำรงชีวิตอย่างไรเราจึงจะเจริญรุ่งเรือง เราจะดำรงชีวิตอย่างไรจึงจะมีความสุข เราจะดำรงชีวิตอย่างไรจึงจะเป็นไปตามธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้เราคิดให้เราพิจารณา

         เพราะว่ากายของเราวาจาของเรานั้นน่ะ มันเป็นไปตามอำนาจแห่งจิตของเรา ใจเป็นนายกายเป็นบ่าว ใจเป็นนายกายเป็นแหล่ง ใจเป็นผู้แต่งกายเป็นผู้กระทำ กายของเรานั้นก็เปรียบเสมือนกับรถยนต์ รถยนต์ที่ไม่มีคนขับ ก็ไม่สามารถที่จะวิ่งไปด้วยลำพังของตนเองได้ ไม่สามารถที่จะเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา ไม่สามารถที่จะเดินหน้าถอยหลังได้ ถ้ารถนั้นไม่มีคนขับ รถมันจะวิ่งช้าวิ่งเร็ว มันจะลงข้างทางหรือมันจะไปถึงจุดหมายปลายทาง ก็เพราะคนขับ

         ชีวิตของเราก็เหมือนกัน เราจะดำเนินชีวิตไปให้มีความถูกต้อง ก็เพราะใจของเราซึ่งเป็นคนขับกายของเรา ขับวาจาของเรา เราจะดำเนินชีวิตให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองหรือเกิดความเสื่อม จะเป็นสิริมงคลหรือเป็นความอัปรีย์จัญไรต่างๆ มันก็อยู่ที่ใจของเรา อยู่ที่คนขับนะ คนขับรถ คนขับกายขับวาจาของเราก็คือใจ

         เราเริ่มชีวิตใหม่ สิ่งที่เราควรพัฒนาก็คือพัฒนาจิตใจของเรา พัฒนาอะไรมันก็ผิดถ้าจิตใจของเราไม่พัฒนา จะฟังธรรมเป็นร้อยกัณฑ์พันกัณฑ์ เป็นหมื่นกัณฑ์ เป็นแสนกัณฑ์ ถ้าใจไม่พัฒนาแล้วการฟังธรรมนั้นก็สักแต่ว่าฟัง เหมือนกับหูกระทะตาไม้ไผ่ ย่อมไม่รู้ร้อนรู้หนาว ย่อมไม่รู้บุญรู้บาป ย่อมไม่รู้ศีลรู้สมาธิ ย่อมไม่รู้วิปัสสนา ย่อมไม่รู้มรรคผลพระนิพพาน

         แต่ถ้าเราเป็นผู้ที่มีจิตใจที่ฝึกฝนอบรมแล้วนี่ การฟังธรรมนั้นถือว่าเป็นสิ่งที่เป็นยาวิเศษ การฟังธรรมนั้นเป็นเหมือนกับการดื่มสิ่งที่เป็นอมฤตธรรม เป็นธรรมที่ไม่ตาย ธรรมที่ไม่ตายก็คือความจริงนั่นแหละ ความจริงเช่น คนเราเกิดมาแล้วจะต้องแก่ต้องเจ็บต้องตาย มันเป็นความจริง เราจะมาปกปิดซ่อนเร้นความแก่มันก็ปกปิดไม่ได้ เพราะความจริงมันเป็นของไม่ตาย เราจะมาปกปิดความชราภาพของร่างกาย เราจะมาปกปิดความตายไม่ให้ปรากฏขึ้นมาในชีวิตของเรามันก็ทำไม่ได้ เพราะความจริงมันเป็นสิ่งที่ไม่ตาย

         การพัฒนาใจของเรา เราจะพัฒนาตามหลักการในตรรกะที่มีอยู่ในโลกของเราเนี่ย เราจะพัฒนาตามตรรกะของภาษาไทย ของคณิตศาสตร์ หรือว่าของวิชาใดๆ ที่มีอยู่ในโลกของเราเนี่ย จะเป็นวิชาที่มีการฝึกการฝนการอบการรมตามลัทธิต่างๆ ศาสนาต่างๆ ที่มีอยู่ทั่วโลกของเรา จะเป็นศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสต์ ศาสนาฮินดู ศาสนาซิก ศาสนาพราหมณ์ หรือศาสนาต่างๆ ที่มีปรากฏมากมายในโลกเรานี้ ศาสนาเหล่านั้นไม่ได้กล่าวถึงนิพพานนะ ไม่ได้กล่าวถึงมรรค ไม่ได้กล่าวถึงผล ไม่ได้กล่าวถึงพระนิพพาน ศาสนาเหล่านั้นสรรเสริญความสุขอันเกิดจากรูป จากเสียง จากกลิ่น จากรส จากสัมผัส จากอารมณ์ต่างๆ ซึ่งมันเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้คนลุ่มหลงมัวเมา ทำให้ต้องเวียนว่ายตายเกิดในห้วงมหรรณพภพสงสาร

         ศาสนาพุทธของเรานั้นเป็นศาสนาที่กล่าวถึงเรื่องมรรคถึงผลถึงพระนิพพาน เป็นศาสนาเดียวในโลก ฉะนั้น เราทั้งหลายทั้งปวงผู้ที่มาฝึกมาฝน มาอบมารม ได้เข้ามาใต้ร่มพุทธธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วนั้น ขอให้เราทั้งหลายทั้งปวงได้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรม เพราะว่าธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นเป็นของจริง บุคคลผู้ที่จะรู้แจ้งในธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นต้องเป็นบุคคลผู้ที่ทำจริง ต้องมีความจริงจังในการทำ มีความจริงใจในการกระทำ ถ้าเราบวชเข้ามาแล้วเราไม่ได้ปฏิบัติจริงจังในศีล เราไม่มีความปฏิบัติจริงจังในสมาธิ เราไม่มีความปฏิบัติจริงจังในเรื่องวิปัสสนา ศีล สมาธิ วิปัสสนา มรรค ผลนิ พพาน มันไม่ได้เกิดนะ ไม่ได้เกิดขึ้นมาง่ายๆ

         องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของพวกเรา  พระองค์ตรัสว่า สิ่งที่จะทำให้เข้าถึงมรรคผลพระนิพพานนั้นเรียกว่าสัจจะ คือความจริง ๔ ประการ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค นั่นแหละ

         เราทั้งหลายทั้งปวงจะประพฤติปฏิบัติธรรมให้ได้เข้าถึงความจริงขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอให้เรานั้นมีความจริงใจมีความจริงจังในการรักษาศีล พยายามรักษาศีลให้บริสุทธิ์บริบูรณ์พยายามประคับประคองศีลของตนเองให้ดี ทั้งที่เป็นแม่ชีก็ดี ทั้งที่เป็นอุบาสกก็ดี ทั้งที่เป็นพระภิกษุสงฆ์สามเณรก็ดี นอกจากเรามีความจริงจังจริงใจในการรักษาศีลแล้วเนี่ย เราต้องมีความจริงจังจริงใจในการเจริญสมถะนะ การเจริญสมถะคือการเจริญสมาธินั้น เราต้องมีการกระทำให้สม่ำเสมอ ถ้าเราอยู่ในเพศของนักบวช เราอยู่ในเพศของความเป็นพระเป็นเณร เป็นปะขาวเป็นแม่ชีเนี่ย สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการเจริญสมถะวิปัสสนากรรมฐานนี่นะ

         บุคคลผู้เป็นเซียนหรือว่าบุคคลผู้เป็นตำนานในการเจริญสมถกรรมฐานเนี่ย ท่านจะกล่าวว่า เราเห็นความสำคัญของการบริโภคอาหารตอนเช้าก็ดีตอนเพลก็ดี เราเห็นความสำคัญของการบริโภคอาหาร ฉันอาหารเช้า ฉันหาเพลเนี่ย ถ้าไม่ได้ฉันมันก็หิว ต้องฉันทุกวันไม่ขาด ไม่ขาดแม้แต่วันใดวันหนึ่ง นี่เราเห็นความสำคัญของการฉันอาหารอย่างนี้เนี่ย เราก็ต้องเห็นความสำคัญของการนั่งภาวนา เราต้องเห็นความสำคัญของการเจริญสมถะ เราเห็นความสำคัญของอาหาร ฉันใด เราต้องเห็นความสำคัญของการนั่งภาวนาเจริญฌานอันเป็นการบริโภคอาหารคือฌาน ฉันนั้นเหมือนกัน

         คือเราบริโภคอาหาร มีการฉันอาหาร ฉันข้าว ฉันของหวานเรียกว่า กวฬิงการาหาร อาหารคือคำข้าวเนี่ย ก็ทำให้ร่างกายของเรามันแข็งแรง แต่ถ้าจิตใจของเรามันเป็นอยู่ด้วยฌาน มีฌานเป็นวิหารธรรม ธรรมเป็นเครื่องอยู่นะ จิตใจของเราก็จะมีความเข้มแข็งมีปีติ มีความสุข มีความสันโดษ ตามหลักธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ถ้าใจของเราไม่ได้บริโภคฌาน ไม่ได้มีปีติ ไม่มีความอิ่มอกอิ่มใจ เราจะมีความสันโดษ เราจะมีความมักน้อย เราจะเป็นอยู่ในสมณเพศได้อย่างไร ในเมื่อใจของเราไม่ร่มเย็น

         ผู้ที่เป็นนักเลงของการเจริญสมถะท่านจึงให้ความสำคัญว่า การบริโภคอาหารสำคัญอย่างไร บุคคลผู้เป็นนักเลงฌานเนี่ย ก็ต้องบริโภคฌานให้มันมีความสำคัญเหมือนกับบริโภคอาหาร คือต้องไม่ขาด ต้องทำทุกวัน  นี่ท่านมีนิยามอย่างนี้นะ

         บุคคลผู้เป็นนักบวชของเรา ผู้ใดไม่เหินห่างจากฌาน ผู้ใดไม่เหินห่างจากสมาธิ ผู้นั้นย่อมเป็นที่รักของคนที่เป็นสพรหมจารีร่วมกัน ย่อมเป็นที่รักของมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย บุคคลนั้นย่อมมีกายวาจาใจอยู่ด้วยความสุข ด้วยอำนาจแห่งความสงบที่เกิดขึ้นมาจากฌาน ถ้าเรามีความจริงใจจริงจัง มีความมุ่งมั่นในการเจริญฌานเนี่ย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสว่า เป็นหนทางที่จะทำให้เราอยู่ในความเป็นนักบวช เขาจะเอายศถาบรรดาศักดิ์ เขาจะเอาสิ่งที่เป็นรูป เป็นเสียง เป็นกลิ่น เป็นรส เป็นสัมผัสต่างๆ มาล่อมาลวงให้เรายินดีกับสิ่งเหล่านั้นเนี่ย ถ้าเรามีอารมณ์ของฌานอยู่เป็นประจำแล้วเนี่ย ก็จะทำให้เรานั้นไม่สนใจกับสิ่งเหล่านั้นได้

         เพราะว่าสิ่งเหล่านั้น มีรูปเป็นต้นเนี่ย มันไม่มีความประณีตเท่ากับฌาน ฌานนั้นประณีตกว่า เพราะฉะนั้น บุคคลผู้มีปัญญาย่อมไม่ปล่อยจิตปล่อยใจของตนเองให้หลงกับสิ่งที่มันอยาก ไม่ปล่อยจิตปล่อยใจของตนเองให้หลงอยู่กับสิ่งที่เป็นของปฏิกูล ไม่ได้ปล่อยจิตปล่อยใจของตนเองให้หลงอยู่กับสิ่งที่มันเป็นของที่ตกอยู่ในอำนาของความแก่ ความเจ็บ ความตาย ไม่ปล่อยจิตปล่อยใจของเราให้หลงอยู่กับสิ่งที่มันเป็นของปฏิกูล มีผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก บุคคลผู้มีปัญญานั้นน่ะ ย่อมไม่ปล่อยจิตปล่อยใจของตนเองให้หมกมุ่นมัวเมากับสิ่งของที่เป็นปฏิกูล ย่อมพยายามยกจิตยกใจของตน ยกวันแล้ววันเล่า เดือนแล้วดือนเล่า ปีแล้วปีเล่า ยกแล้วยกอีก

         คือจิตใจของคนเรานั้นย่อมหลงอยู่กับรูป กับเสียง กับรส เป็นของธรรมดา แต่บุคคลผู้มีปัญญานั้น ย่อมพยายามหาทางออก เหมือนกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงแสวงหาธรรมเป็นที่ตรัสรู้ เหมือนกับพระโมคคัลลานะและพระสารีบุตร สมัยที่เป็นโกลิตะและอุปติสสะนั้น แสวงหาโมกขธรรม ธรรมอันเป็นเครื่องพ้นจากสิ่งทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้น

         เราทั้งหลายทั้งปวงก็แสวงหาธรรมเป็นเครื่องพ้น คือทำอย่างไรจิตใจของเราจึงจะพ้นไปจากความยินดีในรูป ทำอย่างไรจิตใจของเราจึงจะพ้นไปจากความยินดีในเสียง ทำอย่างไรจิตใจของเราจะพ้นไปจากความยินดีในกลิ่น ในรส ในสัมผัส จิตใจของเราจึงพ้นไปจากความยินดีในลูก ในสามี ในภรรยา ในทรัพย์สมบัติ ในความร่ำความรวย ในการเรียนว่ายตายเกิดต่างๆ ทำยังไงเราจึงจะพ้นจากสิ่งเหล่านี้ได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก็ทรงตรัส มีหนทางเดียว เรียกว่า เอกมัคโค เป็นหนทางสายเดียว เป็นหนทางที่คนคนเดียวที่จะไปถึงได้ คือบุคคลที่จะไปถึงมรรคก็ดี ไปถึงผลก็ดี ไปถึงพระนิพพานเนี่ย ไม่ใช่เราต้องจูงแขนสามี จูงแขนภรรยา จูงแขนลูกแขนหลาน แล้วก็เข้าไปสู่พระนิพพานเป็นกลุ่มเป็นคณะกัน ไม่ใช่ เหมือนกับทัวร์เขาไปเที่ยว ไม่ใช่นะ ต้องทำให้เกิดขึ้นเฉพาะตน เป็นปัจจัตตัง เป็นของเฉพาะตน เราอยากจะถึงนิพพานเราก็ต้องทำเอง เราอยากจะให้พ่อแม่ถึงนิพพานเราก็ต้องแนะนำพ่อแม่ให้เดินจงกรม ให้นั่งภาวนา ให้กระทำเอง ให้เห็นเอง ให้รู้แจ้งเอง ให้มรรคมันเกิดขึ้นที่จิตที่ใจของพ่อของแม่เอง ให้มรรคมันเกิดขึ้นที่จิตใจของสามี ของภรรยา ของลูกของหลานเอง ไม่ใช่ว่าเราจะสร้างมรรคสร้างผลให้เกิดขึ้นในจิตใจของคนอื่น แต่ละคนนั้นต้องสร้างมรรคสร้างผลให้เกิดขึ้นในจิตใจของตน เพราะฉะนั้นท่านจึงกล่าวว่าเป็นปัจจัตตัง เป็นของเฉพาะตนอย่างนี้

         การที่เราอยู่ในเพศของนักบวช เราจะลำบากลำบนขนาดไหนก็ตาม ก็ไม่ลำบากลำบนเท่ากับที่เราจะต้องไปเกิด ไปแก่ ไปเจ็บ ไปตายอีกนับภพนับชาติไม่ได้ เราลำบากในการเดินจงกรม ลำบากในการนั่งภาวนา ลำบากในการเป็นอยู่ในทุกวันนี้เนี่ย อยู่วัดพิชโสภารามมันลำบากเหลือเกินเนี่ย มันจะลำบากมากขนาดไหนก็ตาม มันไม่เท่าความลำบากที่เราจะต้องไปเกิดไปแก่ไปเก็บไปตาย เวียนตายเวียนเกิดเวียนกำเนิดในภพทั้ง ๓

         เหมือนกับที่เราไปอ่านผญาของหลวงปู่มั่นเนี่ย ที่ท่านกล่าวว่า แก้ให้ตก ถ้าแก้ไม่ตกก็ใส่พกเจ้าไว้ ถ้าแก้ไม่ได้ก็แขวนคอต่องแต่ง ถ้าแก้ไม่ออกก็คาก้นยางยาย คายางยายก็เวียนตายเวียนเกิด เวียนกำเนิดในภพทั้ง ๓ ภพทั้ง ๓ เป็นบ้านของเจ้าอยู่ เป็นเรือนของเจ้าอยู่ ถ้าผู้ใดแก้ไม่ออกมันก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่อย่างนั้น มันเป็นทุกข์มากกว่าที่เราอดทนในการเดินจงกรมนั่งภาวนา มันนับประมาณไม่ได้ เราเกิดในภพนี้ชาตินี้มันก็ลำบากเหลือ เกิน ทำไมเราต้องอยากจะไปเกิดในภพอื่นชาติอื่นอีก มันเป็นเพราะตัณหานะ ตัณหาที่อยู่ในใจของเรานี่แหละ มันทำให้เราไม่อิ่มในการสัมผัส มันทำให้เราไม่อิ่มในรูป มันทำให้เราไม่รู้จักอิ่มในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัส ในอารมณ์ต่างๆ มันจึงต้องเวียนว่ายตายเกิด ตัณหานี่แหละเป็นตัวเหตุ ตัณหานี้แหละเป็นสมุทัย

         เราทั้งหลายทั้งปวงเนี่ย เมื่อใคร่ครวญว่าตัณหานั้นมันเป็นตัวเหตุ ตัณหามันเป็นตัวพาให้เกิดทุกข์ เวียนว่ายตายเกิด เราก็มาเพียรเพื่อที่จะดับตัณหา ก็คือการเจริญวิปัสสนากรรมฐานนี่แหละ เป็นตัวที่เราจะต้องเพียรในการดับตัณหา ไม่มีอะไรที่จะดับตัณหาได้ จะเป็นสารเคมี จะเป็นสารดับเพลิง หรือว่าจะเอาอะไรมาดับตัณหา มันดับไม่ได้หรอก นอกจากการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน การเจริญวิปัสสนากรรมฐานก็เหมือนกับคณะครูบาอาจารย์ญาติโยมแม่ชีทุกท่านทุกคนเจริญอยู่อย่างนี้แหละ ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ มีสติ มีสัมปชัญญะ รู้อาการยก อาการย่าง อาการเหยียบ รู้อาการของท้องพองท้องยุบ เห็นต้นพอง กลางพอง สุดพอง ต้นยุบ กลางยุบ สุดยุบ เห็นอัตภาพร่างกายอันยาวานาคืบของเรานี้ตกอยู่ในความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ร่างกายของเรานั้นเป็นก้อนเสื่อม เป็นประดุจก้อนน้ำแข็งใหญ่ที่มันค่อยละลายไป ละลายไป ยิ่งเราเกิดนานมันก็ยิ่งละลายไปนาน ชีวิตของเรามันก็สั้นเข้าสั้นเข้า เหมือนกับสตรีทอหูกนั่นแหละ ข้างหลังมันยาวไปยาวไป ข้างหน้ามันก็สั้นลงสั้นลง ชีวิตก็เหลือน้อยลงเต็มที

         เหมือนกับบุรุษผู้ฆ่าโคเนี่ย จูงโคไปสู่ที่ฆ่า โคมันก้าวเท้าแต่ละก้าวไปเนี่ย ใกล้สถานที่ฆ่า ใกล้เข้าไป ใกล้เข้าไป ชีวิตของโคมันก็ใกล้ความตายเข้าไปทุกที ชีวิตของคนทุกชีวิตก็เหมือนกัน ในแต่ละวัน ในแต่ละเดือน ในแต่ละปี ที่มันผ่านไปผ่านไปเนี่ย มันใกล้ความตายเข้าไปทุกที ถ้าเราไม่รีบสร้างสมอบรมคุณงามความดี ไม่มีความเพียรในการประพฤติปฏิบัติ ไม่ขจัดจิตขจัดใจของตนเองให้พ้นอำนาจของตัณหา ยังจะมายินดีในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัส อันเป็นบ่อเกิดแห่งการเวียนว่ายตายเกิดเนี่ย เมื่อไหร่เราจะพ้นไปจากกองทุกข์ทั้งหลายทั้งปวงได้ เราเกิดมาได้เป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา เราได้มาบวช ได้มาฟังธรรม ได้มาประพฤติปฏิบัติธรรม เป็นผู้มีบุญล้นฟ้าล้นดิน มีบุญมาก มีบุญโข มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ประมาณไม่ได้แล้ว ไม่ต้องไปยินดีกับบุคคลผู้ที่เขามีทรัพย์สมบัติเป็นร้อยล้านพันล้าน อย่าไปยินดีกับสิ่งเหล่านั้น จะเป็นนายกรัฐมนตรี จะเป็นอะไรต่างๆ ต้องเวียนว่ายตายเกิดภพแล้วภพเล่า แล้วเราจะไปยินดีกับสิ่งเหล่านั้นไปทำไม

         เราทั้งหลายทั้งปวงที่มีโอกาสมีเวลาให้รีบสร้างสมอบรมคุณงามความดี ถ้าเราเกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา ได้มีโอกาสบวชแล้วเนี่ย เรายังเอาดีไม่ได้ ชาติหน้าไม่รู้ว่าเราจะมีโอกาสได้มาเกิดเป็นมนุษย์อีกไหม ไม่รู้ว่าเราจะได้มีโอกาสได้มาบวชอีกไหม ไม่รู้ว่าเราจะมีโอกาสได้มานั่งฟังธรรมทุกวันทุกวัน มาทำวัตรสวดมนต์ทุกวันอย่างนี้ไหม มันไม่แน่นอนนะ ถ้าเรายังไม่ได้บรรลุมรรคนิพพาน มันเป็นไปได้ทุกสิ่งทุกอย่าง

         เพราะฉะนั้น เราทั้งหลายทั้งปวง เมื่อมีโอกาสเมื่อมีเวลาแล้วนี่ อย่าประมาทในการสร้างสมอบรมคุณงามความดี ข้ามพ้นสิ่งเหล่านี้ไปให้ได้ ด้วยการอบรมใจของตนเอง ด้วยการข่มใจของตนเอง ด้วยการสอนใจของตนเอง ด้วยการแนะนำใจของตนเอง ด้วยการฝึก ด้วยการฝน ด้วยการอบรมใจของตนเอง ด้วยตัวของเราเอง เราทั้งหลายทั้งปวงผู้ประพฤติปฏิบัติธรรมนั้น นำเอาธรรมะนั้นมาเป็นโอปนยิโก น้อมเข้ามาสู่จิตสู่ใจ ฝึกฝนอบรม ขัดเกลาจิตใจของตนเอง เมื่ออบรมฝึกฝน ขัดเกลาจิตใจของตัวเองแล้ว มีศีล มีสมาธิ มีวิปัสสนา เมื่อวิปัสสนามันสมบูรณ์แล้ว จิตใจของเรามันก็จะกลายสภาพจากปุถุชนเป็นอริยชน คือสามารถสำเร็จเป็นพระอริยบุคคล สำเร็จเป็นพระโสดาบันเป็นต้นได้ ด้วยการฝึกฝนอบรมนะ ไม่ใช่อยู่ดีๆ มันจะเกิดขึ้นมานะ

         สิ่งเหล่านี้เนี่ย มันได้ด้วยความยาก ได้ด้วยความลำบาก เหมือนกับคนไม่มีบุญเนี่ย กว่าที่จะหาเงินมาได้เป็นหมื่นเป็นแสนเนี่ย กว่าจะเก็บหอมรอมริบได้ ปีหนึ่งก็ยังไม่ได้ถึงแสน ไม่รู้ว่าจะหายังไง ไม่รู้หนทางที่จะหามา มันลำบากเหลือเกิน กว่าที่จะได้เงินเป็นแสนเป็นล้าน มันลำบากเหลือเกิน ปีหนึ่งก็ไม่เห็นเงินแสน ไม่รู้เงินล้านมันจะเป็นยังไง แต่คนที่มีบุญวาสนาบารมีเนี่ย เงินแสนมันก็นิดเดียว เงินล้านก็นิดเดียว เนี่ยมันเป็นในลักษณะอย่างนั้นนะ

         เวลาเราประพฤติปฏิบัติธรรมมันก็ต่างกันอย่างนั้นแหละ บางคน สมาธินี่ กว่าที่มันจะสงบนี่ ไม่เคยเจอความสงบแห่งจิตแห่งใจ ไม่รู้ว่ามันสงบยังไง เวลามันเข้าผลสมาบัติก็ไม่รู้ว่ามันเป็นยังไง  ไม่รู้ว่ามรรคผลมันเป็นยังไง เพราะอะไร เพราะตนเองยังเข้าไม่ถึงอะไรทำนองนี้ มันเป็นของยาก มันเป็นของเหลือวิสัย เพราะบุญไม่ได้สั่งสมอบรมไว้

         ท้องฟ้านี่ว่ามันไกลกัน เราก็ยังสามารถที่จะมองเห็น แต่เราไม่สามารถมองว่ามรรคผลมันเป็นยังไง โลกุตระนี่มองไม่เห็นว่ามันเป็นอย่างไร มันไกลยิ่งกว่าฟ้าไปอีก สำหรับบุคคลผู้มีบุญยังไม่มากมันเป็นอย่างนั้น

         เพราะฉะนั้น เราต้องมีการระมัดระวัง มีการสำรวม มีการประพฤติปฏิบัติ มีความไม่ประมาทเป็นเรือนใจนะ ประมาทเมื่อไหร่ก็ อวํสิโร นะ เป็นผู้มีหัวหยั่งลงเมื่อนั้นนะ เย ปมตฺตา ยถา มตา ชนเหล่าใดเป็นผู้ประมาท ชนเหล่านั้นก็เปรียบเหมือนกับบุคคลผู้ตายแล้ว ปมาโท มจฺจุโน ปทํ ความประมาทเป็นทางแห่งความตาย  อปฺปมาโท อมตํ ปทํ ความไม่ประมาทเป็นทางไม่ตาย เพราะฉะนั้นก็ขอเราทั้งหลายทั้งปวงตั้งอยู่ในความไม่ประมาท.