ดูจิตดูใจ

ดูจิตดูใจ

(เทศน์ที่วัดพิชโสภาราม เช้าวันที่ ๑๖ ก.ค. ๕๖)

          ต่อไปก็ขอให้คณะครูบาอาจารย์ตลอดถึงญาติโยมทั้งหลายได้ยกจิตขึ้นสู่อารมณ์พระกัมมัฏฐาน การยกจิตขึ้นสู่อารมณ์พระกัมมัฏฐานก็คือการตั้งสติ ตั้งสัมปชัญญะไว้ที่รูปที่นามที่อาการของเรากำหนดอยู่

          เรากำหนดอาการพองอาการยุบ มีสติกำหนดรู้ในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม กาย เวทนา จิต ธรรมนั้นจึงถือว่าเป็นอารมณ์ของกัมมัฏฐาน ฉะนั้นก็ขอให้คณะครูบาอาจารย์ได้ยกจิตของตนขึ้นสู่อารมณ์ของพระกัมมัฏฐานกำหนดให้ทันอาการพองอาการยุบ พยายามมีสติให้ทันปัจจุบันธรรม

          การกำหนดบทพระกัมมัฏฐาน จะเป็นพระใหม่ก็ตาม จะเป็นพระปานกลางก็ตาม หรือจะเป็นพระเก่าที่เคยปฏิบัติธรรมมานานตลอดถึงญาติโยมทุกท่านที่มาเก่ามาใหม่ก็ตาม ถ้าเราไม่กระทำทุกวันๆ อาการของกัมมัฏฐานก็เศร้าหมองได้

          เหมือนกับเรือนของเรา เราจะปัดกวาดดีอย่างไรกุฏิเราจะปัดกวาดดีอย่างไรปิดประตูกระจกหน้าต่างดีอย่างไรฝุ่นมันก็ยังเข้าได้ เราทิ้งกุฏิทิ้งบ้านทิ้งเรือนสองสามวัน พอกลับไปแล้วบ้านเรือนของเรานั้นรกรุงรังไปด้วยฝุ่นละอองต่างๆ เรียกว่าความเศร้าหมองของบุคคลผู้ไม่ทำความสะอาดบ้านเรือน

          จิตใจของเราก็เหมือนกัน ถ้าเรามัวแต่ทำการงานอย่างอื่นไม่ดูจิตดูใจของเราแล้วจิตใจของเราก็จะเศร้าหมอง จิตใจของเราเศร้าหมองเพราะอะไร เพราะกิเลสเป็นเครื่องจรมา หมายความว่ากิเลสนั้นไม่ได้อยู่ที่ใจของเราแต่มันจรมาจากที่อื่น มาเกิดขึ้นที่ใจของเรา

          อย่างเช่นความโกรธก็ไม่ใช่ว่าเป็นของบุคคลนั้นเลยทีเดียว แต่คนทั้งหลายทั้งปวงนั้นอาศัยสิ่งภายนอกแล้วมาทำให้จิตใจของเราเกิดความโกรธขึ้นมา ราคะก็ไม่ใช่ของบุคคลนั้นแต่ว่าเป็นสิ่งภายนอกมาทำให้เกิดขึ้นในใจของบุคคลนั้น ความหลง โมหะต่างๆ ก็ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นทุนเดิมของบุคคลนั้นแต่ว่าอาศัยวัตถุภายนอก แล้วทำจิตทำใจของบุคคลนั้นให้ลุ่มหลงเกิดขึ้นที่ใจของบุคคลนั้นอีกภายหลังท่านกล่าวว่าเป็นกิเลสที่จรมา

          องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสในตอนหนึ่ง ตอนที่ว่าด้วยตัณหาท่านกล่าวว่าตัณหาทั้งหลายทั้งปวงนั้นไม่ใช่รูป รูปไม่ใช่ตัณหา เสียงไม่ใช่ตัณหา กลิ่นไม่ใช่ตัณหา โผฏฐัพพะไม่ใช่ตัณหา แต่ว่าตัณหามันคืออะไร ตัณหาไม่ใช่รูป ไม่ใช่รส ไม่ใช่เสียง ไม่ใช่กลิ่น ไม่ใช่สัมผัสแล้วตัณหานั้นคืออะไร

          องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสว่า รูปก็ตั้งอยู่ในลักษณะอย่างนั้นแหละไม่ใช่ตัณหา แต่ความที่เป็นตัณหาที่แท้จริงนั้นก็คือความดำริของเรา คือความคิดของเราที่ไปยึดมั่นอุปาทานในรูปนั้น วิตกวิจาร ปรุงแต่งให้เกิดตัณหาขึ้นมา

          อย่างเช่นเราเห็นรูป รูปหนึ่งที่ตั้งอยู่ข้างหน้าของเรา คนทั้งหลายทั้งปวงที่นั่งอยู่ด้วยกันก็เห็นด้วยกัน แต่คนทั้งหลายทั้งปวงที่เห็นรูปเหมือนกัน อย่างเดียวกัน แต่บางรูปบางคนอาจจะเกิดราคะ อาจจะเกิดความกำหนัด แต่บางรูปบางท่านอาจจะเกิดความปฏิฆะ ความขัดเคือง บางรูปบางท่านอาจจะเกิดโมหะความลุ่มหลงเป็นอวิชชาเป็นความไม่รู้ไปในลักษณะอย่างนี้ รูปนั้นไม่ใช่ตัวตัณหา แต่ตัวตัณหาที่แท้จริงนั้นก็คือความคิดความดำริของเรา

          ราคะก็เหมือนกัน รูปไม่ใช่ราคะ เสียงไม่ใช่ราคะ กลิ่นไม่ใช่ราคะ การสัมผัสต่างๆ นั้นไม่ใช่ราคะ ราคะที่แท้จริงก็คือความดำริของเรานี้แหละไปกำหนัดในรูป ไปกำหนัดในเสียง จิตของเราไปกำหนัดในกลิ่น ในรส ในสัมผัส ก็เกิดเป็นราคานุสัยขึ้นมา เป็นเครื่องหมักดองในจิตในใจขึ้นมา

          รูปไม่ใช่โทสะ เสียงไม่ใช่โทสะ กลิ่นไม่ใช่โทสะ การสัมผัสถูกต้องอารมณ์ต่างๆ ก็ไม่ใช่โทสะ แต่มันเป็นความคิดของเราที่เกิดความไม่ชอบใจขึ้นมาก็ไปยึดในรูปในเสียงนั้นก็เกิดปฏิฆานุสัยขึ้นมา เกิดปฏิฆะเป็นเครื่องหมักดองอยู่ในจิตในใจขึ้นมา

          หรือว่าโมหะ รูปก็ไม่ใช่โมหะ เสียงก็ไม่ใช่โมหะ กลิ่นก็ไม่ใช่โมหะแต่ว่าโมหะนั้นมันเกิดขึ้นมาจากความไม่รู้ ความไม่รู้นี้แหละชื่อว่าเป็นอวิชชานุสัยขึ้นมา เพราะฉะนั้นสิ่งทั้งหลายทั้งปวงเราต้องพยายามชำระกาย ชำระจิตของเราให้สะอาด ให้หมดจดจากสิ่งทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้น

          การภาวนา ถึงเราจะเคยประพฤติปฏิบัติธรรมมานานแต่ก็ต้องเดินจงกรมทุกวัน ต้องนั่งภาวนาอบรมจิตทุกวัน เมื่อไรที่เรายังไม่หมดกิเลส ยังไม่สิ้นตัณหา ยังไม่ถึงฝั่งคือพระนิพพาน ยังไม่ได้ชื่อว่าเป็นพระขีณาสพเราก็ต้องบำเพ็ญบารมี เดินจงกรม นั่งภาวนาทุกวันๆ

          แม้แต่พระเดชพระคุณหลวงพ่อใหญ่ของเราก็ประพฤติปฏิบัติธรรมทุกวันๆ คณะครูบาอาจารย์เห็นพระเดชพระคุณหลวงพ่อมีร่างกายไม่แข็งแรง เวลาเดินก็ต้องจับมือพยุงกันไปในลักษณะอย่างนี้ ถึงเวลานั่งพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านก็นั่งภาวนาทุกวันๆ ในพรรษานั้นท่านก็นั่งเวลาทำวัตรเย็น ทำวัตรเย็นนี้ท่านจะนั่งภาวนาประมาณ ๑ ชั่วโมงทุกวันๆ

          ถึงพระเดชพระคุณหลวงพ่อจะประพฤติปฏิบัติธรรมมาถึงขนาดนี้แล้ว รู้ว่ากิเลสตัณหามันเป็นอย่างไรก็รู้แล้วแต่พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านก็ยังนั่งภาวนาทุกวันๆ เพราะอะไร เพราะการนั่งภาวนาจะเป็นการยังจิตให้เข้าสู่ฌานธรรม จะเป็นปฐมฌาน ทุติยฌานก็ตามก็ถือว่าเป็นเรือนแก้วของพระอริยบุคคลทั้งหลายทั้งปวง หรือการยังจิตยังใจให้เข้าสู่ความสงบเป็นผลสมาบัติของบุคคลผู้ผ่านการปฏิบัติธรรมแล้ว

          ถ้าผู้ใดผ่านการปฏิบัติธรรมนับตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป บุคคลนั้นก็สามารถเข้าสู่ผลสมาบัติได้ จะเป็นการเข้าสู่ผลของพระโสดาบันก็ดี เข้าสู่ผลของพระสกทาคามี อนาคามี หรือพระอรหันต์ เข้าสู่ผลของแต่ละบุคคล แต่ละตน เรียกว่าเข้าสู่ผลของกันไม่ได้ เวลามาประพฤติปฏิบัตินั่งภาวนาถ้าบุคคลใดสามารถยังจิตยังใจให้เข้าสู่ผลสมาบัติได้ชั่วช้างพัดหูงูแลบลิ้นไก่ตบปีก ก็ชื่อว่าบุคคลนั้นมีพระนิพพานเป็นอารมณ์ เพราะว่าผลสมาบัตินั้นมีนิพพานเป็นอารมณ์ เมื่อมีนิพพานเป็นอารมณ์แล้วญาติโยมทั้งหลายทั้งปวงที่มาทำบุญทำทานก็ได้บุญมากอานิสงส์มากเหลือล้นพ้นประมาณ เพราะอะไร เพราะบุคคลนั้นได้ยังจิตยังใจให้เข้าถึงพระนิพพานอันเป็นแดนสงบ อันเป็นแดนแห่งความสุขที่แท้จริงแล้ว ไม่มีเคลื่อน ไม่มีเกิด ไม่มีแก่ ไม่มีเจ็บ ไม่มีตายแล้ว ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่เกิดอานิสงส์มากมายถึงจะเป็นการเข้าสู่ภาวะนั้นแค่นิดหนึ่งก็ตาม แต่อานิสงส์นั้นมันเหลือล้นพ้นประมาณ

          เพราะฉะนั้นพระผู้ใหญ่ก็ดี พระเถรานุเถระทั้งหลายก็พยายามเดินจงกรม นั่งภาวนา แผ่เมตตาเป็นประจำ ให้เราพิจารณาดูองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อพระองค์ทรงตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว พระองค์สิ้นกิเลสสิ้นตัณหาหมดเกลี้ยงไปจากจิตจากใจเป็นผู้มีขันธ์บริสุทธิ์บริบูรณ์ดีแล้ว พระองค์ทรงยังอัตภาพขันธ์กริยาวัตรของพระองค์นั้นเป็นอย่างไร

          ถ้าเราพิจารณาดูปฏิปทาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นบรมครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายนั้น เราก็จะเข้าใจว่าพระองค์นั้นเดินจงกรมทุกวันตอนปัจฉิมยาม ถ้าเรากล่าวปฏิปทาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยสังเขป ปัจฉิมยามพระองค์ท่านก็จะแบ่งออกเป็น ๓ ช่วง ปัจฉิมยามถ้าเรากล่าวตามหลักก็ตั้งแต่ตี ๒ ถึง ๖ โมงเช้า ก็ประมาณ ๔ ชั่วโมง พระองค์ทรงแบ่งออกเป็น ๓ ช่วง ช่วงละประมาณ ๑ ชั่วโมง ๒๐ นาที เมื่อครบชั่วโมงยี่สิบนาทีพระองค์ทรงสำเร็จการเดินจงกรม พระองค์จะเดินจงกรมก่อน

          เมื่อเดินจงกรมเป็นที่เรียบร้อยแล้วประมาณชั่วโมงครึ่งพระองค์ก็สำเร็จสีหไสยาสน์ประทับนอนดุจราชสีตัวประเสริฐ พระองค์ทรงนอนบรรทมสีหไสยาสน์ชั่วโมงครึ่งหลังจากนั้นพระองค์ทรงตื่นจากบรรทมขึ้นมาก็นั่งคู้บัลลังก์ นั่งสมาธิภาวนาตรวจดูสัตว์โลก ว่าบุคคลใดมีบารมีหรือไม่มีบารมีคนมีบารมีอยู่ที่ไหนพระองค์จะไปโปรดใคร พระองค์ก็ทรงพิจารณาทั้งคันธกุฏี คือตั้งแต่บันไดของพระคันธกุฏีนั้นไปทั่วรอบขอบจักรวาล แผ่ไปทั่วทุกทิศทุกทางว่าใครพอมีบารมีที่จะฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วได้บรรลุธรรม ได้สำเร็จเป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี เป็นพระอรหันต์เป็นต้น ใครจะได้ทำบุญพระองค์จะได้ไปโปรดใคร บุคคลนั้นก็เข้ามาในข่ายแห่งพระญาณของพระองค์ พระองค์ก็จะพิจารณาทุกวันๆ เป็นผู้มีพระเมตตาอันยิ่งใหญ่ ถึงบุคคลนั้นจะเป็นคนยากจนข้นแค้นอนาถา หรือว่าบุคคลนั้นจะอยู่ไกลแสนไกลขนาดไหนด้วยพระเมตตาธรรมของพระองค์นั้นพระองค์ทรงเสด็จไปโปรด

          เราเห็นแล้วว่าพระองค์ทรงพิจารณาว่าใครเข้ามาในข่ายแห่งพระญาณพระองค์จะเสด็จไปโปรดหมด ไม่มีว่าพระองค์จะไม่เสด็จไปโปรด มันไกลเกินไปพระองค์ไม่ไปอะไรทำนองนี้ไม่เคยปรากฏมีในพระไตรปิฎก แต่ผู้ใดเข้ามาปรากฏในข่ายพระญาณพระองค์รู้ว่าบุคคลนั้นมีบารมีพระองค์ก็จะทรงไปโปรด แม้แต่องคุลิมาล องคุลิมาลเป็นจอมโจรเหี้ยมโหดขนาดไหนพระองค์ก็ทรงไปโปรดให้หยุดการกระทำเข่นฆ่าพยาบาทต่างๆ ให้องคุลิมาลนั้นทิ้งดาบที่เปื้อนเลือดแล้วก็น้อมวันทากราบไหว้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วมาขอบวชเป็นคนดีที่ไม่กำเริบอีก มาบวชแล้วก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ เป็นการกลับร้ายกลายเป็นดีความร้ายทั้งหลายทั้งปวงก็ไม่กลับเกิดขึ้นในจิตในใจขององคุลิมาลอีก ความโกรธ ความเคียดแค้น ความแก้แค้นต่างๆ ก็หมดสิ้นไปจากจิตจากใจขององคุลิมาลก็เพราะพระเมตตาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก็ทรงนั่งภาวนาทุกวันๆ เป็นกิจวัตรของพระองค์

          การที่พวกเราทั้งหลายได้มาร่วมประพฤติปฏิบัติธรรม การประพฤติปฏิบัติธรรมนั้นไม่ใช่ว่าปฏิบัตินานแล้วไม่นั่ง นั่งแล้วก็ไม่มีประโยชน์อะไรเพราะว่าเราบรรลุธรรมแล้วอะไรทำนองนี้ ถ้าบุคคลใดคิดในลักษณะอย่างนั้นก็แสดงว่าบุคคลนั้นไม่ได้เข้าถึงธรรมะที่แท้จริง ไม่ได้บรรลุธรรมอันเป็นแดนเกษมจากโยคะที่แท้จริง

          เราพิจารณาดูพระสารีบุตรก็ดี พระโมคคัลลานะก็ดี พระมหากัสสปะก็ดี เวลาท่านผ่านการบรรลุมรรคผลนิพพานเป็นพระอรหันต์ไปแล้วเราอ่านดูประวัติของท่าน ท่านยังกาลและเวลาให้ล่วงไปเพราะเหตุผลอะไร ท่านกล่าวว่าพระอรหันต์ทั้งหลายทั้งปวงที่บรรลุเป็นพระอรหันต์ในพระไตรปิฎก เราไปอ่านดูประวัติของท่าน ท่านกล่าวว่าบุคคลผู้บรรลุมรรคผลนิพพานถึงขั้นสูงสุดในพุทธศาสนาสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วบุคคลนั้นยังกาลเวลาให้ล่วงไปโดยวิเศษ ด้วยสุขอันเกิดขึ้นแล้วแต่มรรคและผล นี้ท่านกล่าวอย่างนั้น คือยังความสุขให้เกิดขึ้นมาจากอำนาจของมรรคของผลที่ตนเองได้แล้ว แล้วก็บำเพ็ญสาธารณประโยชน์เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาของเรา ช่วยเป็นกำลัง เป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายเบื้องขวา ช่วยไปเผยแผ่ตามโอวาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังความสุข ยังศีล ยังสมาธิ ยังปัญญา ยังมรรค ยังผลให้เกิดขึ้นแก่ชาวโลกทั้งหลายทั้งปวง ตนเองรู้แล้วก็แจกจ่ายความรู้ที่เข้าถึงนั้นไปให้แก่บุคคลอื่น เป็นพุทธกิจที่พระพุทธเจ้าบำเพ็ญมาแล้ว สาวกกิจ เป็นกิจของพระสาวกทั้งหลายทั้งปวงที่บำเพ็ญมาแต่ครั้งโบราณกาล

          เพราะฉะนั้นพวกเราที่เป็นพระในยุคโลกาภิวัตน์ก็ยิ่งนั่งภาวนาเพิ่มขึ้น ยิ่งหมั่น ยิ่งทำความเพียรเพิ่มขึ้น เพราะอะไร เพราะยุคโลกาภิวัตน์นี้เป็นยุคมนุษย์อันตราย เป็นยุคอันตรายแห่งพรหมจรรย์ เป็นยุคอันตรายแห่งพระศาสนา เป็นยุคอันตรายแห่งพุทธศาสนิกชนทุกท่าน ทำไมจึงกล่าวอย่างนั้น เพราะสิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่ปรากฏมีอยู่ในโลกนี้มองดูแล้วทำให้คนทั้งหลายทั้งปวงนั้นหลงใหลเคลิบเคลิ้ม เกิดความทะเยอทะยานอยาก เกิดตัณหาในสิ่งทั้งหลายทั้งปวง

          แม้แต่ญาติโยมที่เป็นผู้หญิงก็เหมือนกัน แต่ก่อนโน้นไม่มีการปะแป้งแต่งตัวกันมากนัก แต่ทุกวันนี้ก็มีการประดับตกแต่งตนสดสวยทำให้คนทั้งหลายทั้งปวงได้เกิดความรัก เกิดความหลง เกิดความชอบใจกัน หรือการแต่งตัวนุ่งสั้น นุ่งยาวก็เหมือนกัน ตลอดถึงทางวัตถุสถานที่ต่างๆ จะเป็นตึกรามบ้านช่องก็ตาม จะเป็นรถก็ตาม แต่ก่อนนั้นรถไม่มีแอร์ไม่มีสิ่งประดับตกแต่งให้เลิศหรูมากนักแต่คนทั้งหลายทั้งปวงก็ยังหลงใหลขนาดนั้น แต่ทุกวันนี้รถมีพร้อมทุกสิ่งทุกอย่าง ทำให้คนนั้นชอบ ทำให้คนนั้นหลง ทำให้คนนั้นตะเกียกตะกายทะเยอทะยานอยากได้ในสิ่งนั้น เพราะฉะนั้นวัตถุทั้งหลายทั้งปวงก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เกิดความลุ่มหลงมากขึ้น ความสะดวกสบายมันเพิ่มมากขึ้น มีแอร์ มีทีวี มีตู้เย็น มีเครื่องสะดวกสบายในการทำครัวต่างๆ อันนี้เป็นลักษณะของสิ่งที่มาปกคลุม ครอบคลุมคนไม่ให้ยินดีในธรรม ให้ยินดีในสิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่เขาคิดเขาสร้างขึ้นมา

          การที่จะบรรลุมรรคผลนิพพานนั้นจึงเป็นของยากขึ้น อย่างเช่นโทรศัพท์ก็ดี ทีวีก็ดี ทุกวันนี้คนจะมาฟังเทศน์ฟังธรรมเหมือนแต่ก่อนโน้นเป็นของหายาก เพราะอะไร เพราะต้องดูละครทีวีตอนสองทุ่มครึ่ง สามทุ่ม สี่ทุ่ม ช่องสาม ช่องเจ็ด ช่องเก้า หรือช่องอะไร อันนี้คนทั้งหลายทั้งปวงก็ดูอยู่กับสิ่งเหล่านี้แล้วก็เคลิบเคลิ้มตามละครที่เขาแสดง หลงใหลบ้าง หัวเราะบ้างตามสถานภาพ ร่างกายก็แก่ไปๆ ก็เป็น โมฆชิณฺโณ เป็นผู้แก่เปล่าไป แล้วก็ตายไปไม่ได้อะไร ในลักษณะอย่างนั้น ถือว่าเป็นสิ่งที่เป็นอันตรายต่อการเผยแผ่พระศาสนา

          สมัยก่อนโน้น พ.ศ. ๒๕๓๒, ๒๕๓๓ กระผมได้มาพบพระเดชพระคุณหลวงพ่อ เวลาที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อไปแสดงธรรมงานปริวาส งานปริวาสในสมัยนั้นพระอาจารย์ทองดีเป็นผู้คุมมี ๕ งานบ้าง ๖ งานบ้าง ๗ งานบ้าง มีไม่เยอะมีประมาณ ๖-๗ งานเฉพาะสายของพระเดชพระคุณหลวงพ่อแต่คนมามากมาย อย่างจัดอยู่ที่บ้านนาเจริญมีพระสองสามร้อยญาติโยมก็เกือบเป็นพัน เวลามาเดินจงกรม นั่งภาวนานั้น เป็นสิ่งที่อัศจรรย์ใจเป็นอย่างมาก คนหมดวัดเดินจงกรมร่วมกันทั้งเด็กเล็ก ทั้งหนุ่ม ทั้งสาวเข้ามาฟังธรรมด้วยกันเป็นปรากฏการณ์ที่หาได้ยาก

          เวลาเดินจงกรมนั่งภาวนาก็ใช่ว่าจะทำไปเพราะความไร้เหตุไร้ผล แต่ว่าเดินจงกรมนั่งภาวนานั้นผู้สาวใหญ่ผู้สาวน้อยก็ได้สมาธิกันมากมาย ผู้เฒ่าผู้แก่ได้สมาธิกันมากมาย สามเณรได้สมาธิมากมาย ทั้งเข้าสมาธิท่ายืนท่านั่งท่านอนเต็มไปหมด แม่ชีก็ทำงานหนัก เดินจงกรมเสร็จแล้วก็ต้องเฝ้าบุคคลผู้เข้าสมาธิอีกเป็นห้าทุ่มหกทุ่มตีหนึ่งตีสองไป มันเป็นภาวะที่คึกคักชื่นมื่นดีอกดีใจด้วยอาการของธรรมะไม่มีอย่างอื่นมาแทรก

          หรือเวลาที่พระเดชพระคุณแสดงธรรมที่บ้านนาเจริญเป็นปีแรกที่กระผมได้มาพบพระเดชพระคุณหลวงพ่อ เป็นงานแรก เป็นครั้งแรก ท่านแสดงธรรมจบ ขณะที่ท่านแสดงธรรมจบในสมัยนั้นมีสามเณรประมาณเกือบแปดสิบรูปมีพระประมาณสองร้อยกว่ารูปมาเข้าปริวาส ปู่เล้งก็ไปเป็นประธาน หลวงปู่อ้วนในสมัยนั้นยังมีชีวิตอยู่ก็ไปเป็นประธานเข้ากรรมด้วยกัน กระผมเป็นพระบวชได้ ๒ พรรษาจะเข้า ๓ พรรษาก็มาเข้าปริวาสกรรม ขณะที่เข้าปริวาสกรรมฟังธรรมพระเดชพระคุณหลวงพ่อนั้นกัณฑ์แรกอัศจรรย์เป็นอย่างมาก ขณะที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อเทศน์จบลงไปนั้นแหละ สามเณร ๘๐ รูปเข้าสมาธิไปประมาณเกือบ ๖๐ รูปนั่งเต็มไปหมดสามเณรนั้นไม่ลุก พระก็มีจำนวนเยอะที่เข้าสมาธิ ญาติโยมปะขาวแม่ชีนั่งเข้าสมาธิกันไม่ยอมลุกนั่งอยู่อย่างนั้น ก็เป็นอัศจรรย์ใจสมาธิมันมีอยู่ในที่นี้ เมื่อสมาธิมันมีอยู่ในที่นี้ วิปัสสนาญาณมันก็มีอยู่ในที่นี้ มรรคผลก็ต้องมีอยู่ในที่นี้ มันเกิดความคิดขึ้นมาอย่างนั้นทั้งๆ ที่ไม่เคยรู้เรื่องการปฏิบัติ แต่เพราะอาศัยเราอาจจะเคยทำบุญมาก็เกิดความคิดว่า เมื่อสมาธิมันมีอยู่ในที่นี้พระเดชพระคุณสามารถสอนสมาธิได้วิปัสสนาญาณมันก็ต้องมีอยู่ในที่นี้แหละ มรรคผลมันก็ต้องมีอยู่ในที่นี้แหละนี้มันคิดขึ้นมาอย่างนั้นก็อยากจะมาอยู่วัดพิชโสภาราม

          ในสมัยก่อนโน้นคนจิตใจอ่อนโยน มีสมาธิตั้งมั่น แต่ทุกวันนี้อารมณ์มันมากมายเกินไป หลากหลายเกินไป เดี๋ยวก็ดูทีวี เดี๋ยวก็พูดโทรศัพท์ เวลาฉันข้าวอยู่ก็ยังพูดโทรศัพท์ เวลาทำงานอยู่ต้องดูทีวีไปด้วย ขับรถไปด้วยคุยโทรศัพท์ไปด้วยดูทีวีไปด้วยในรถครบทุกอย่าง หรือว่าอยู่บ้านอยู่ร้านอะไรต่างๆ ก็เหมือนกันทำให้คนนั้นมีจิตใจวอกแวก จิตใจไม่ตั้งมั่น สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งบั่นทอนทำให้จิตใจของคนทั้งหลายนั้นมีสมาธิน้อยลง มีจิตใจเคลิบเคลิ้มกับสิ่งที่เป็นปรากฏการณ์อยู่ในปัจจุบันนี้ ถ้ามันเกิดความเงียบก็เปิดเพลงฟัง ถ้ามันเหงาหน่อยก็เปิดทีวีฟัง คุยโทรศัพท์กับคนโน้นบ้างคนนี้บ้าง จิตใจของคนก็ไม่เคยจะหยุดอยู่กับธรรมชาติไม่เคยพิจารณาดูจิตใจของตนเองว่ามีความโกรธ มีความโลภ มีความหลงเป็นอย่างไรไม่เคยพิจารณา จิตใจของคนห่างเหินจากธรรมะโดยธรรมชาติโดยอัตโนมัติในสังคมยุคโลกาภิวัตน์

          เพราะฉะนั้นเป็นสิ่งที่น่ากลัวเหมือนกันว่าต่อไปศาสนาของเราจะเหลือแต่ประเพณี หรือว่าเหลือแต่หลักการ หรือเหลือแต่รูปแบบเฉยๆ เพราะอะไร เพราะว่าการปฏิบัติธรรมนั้นมันน้อยลงไปทุกทีๆ เราจะพิจารณาบุคคลผู้นั่งสมาธิเป็น ๑๒ ชั่วโมง ๒๔ ชั่วโมงทุกวันนี้หายากมาก แต่ก่อนโน้นนั่ง ๒๔ ชั่วโมงนั้นเป็นของธรรมดา อย่างที่กระผมมาวัดพิชโสภารามปีหนึ่งพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านสอนเรื่องสมาธิ สอนแม่ใหญ่รองมัดตาอ่านหนังสือก็เป็นเรื่องอัศจรรย์ ผ้าที่มัดตานั้นเป็นผ้ามัดสามชั้นบ้างสี่ชั้นบ้างก็มี พระสงฆ์สามเณรญาติโยมทั้งปวงรวมกันที่ศาลา เอาผ้ามัดตาสามารถที่จะอ่านหนังสือได้ หนังสือที่อ่านนั้นก็เป็นพระสงฆ์สามเณรนี้แหละเป็นคนเอาให้อ่าน เป็นคนเขียนให้อ่าน มองดูซิว่าอ่านว่าอย่างไร ก็เกิดความอัศจรรย์ใจเรียกว่าฝึกตาทิพย์ในสมัยนั้นปรากฏเกิดขึ้นมา ทำให้พระที่มาจากทางภาคกลางจากจังหวัดต่างๆ ที่ยังไม่เกิดความเชื่อในเรื่องของสมาธิ ไม่เกิดความเชื่อเรื่องมรรคเรื่องผลเรื่องการปฏิบัติก็ทำให้ละมานะทิฏฐิประพฤติปฏิบัติธรรม ได้อยู่คู่พระศาสนาก็มากมาย อันนี้เป็นสิ่งที่เกิดอัศจรรย์ไม่ใช่ทำครั้งเดียวตามที่กระผมได้อยู่กับหลวงพ่อ ได้ดูแม่ใหญ่รองสาธิต ๓-๔ ครั้งดูด้วยตาของตนเองก็ ๓-๔ ครั้งนี้พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านพาทำปรากฏให้เห็น แล้วคนที่นั่งสมาธิในสมัยนั้นก็จำนวนมาก นั่งสมาธิ ๒๔ ชั่วโมงก็มาก

          มีปีหนึ่งพระเดชพระคุณหลวงพ่อสั่งว่า ให้กระผมตรวจดูซิว่าญาติโยมที่นั่งสมาธิ ๒๔ ชั่วโมงนั้นมีเยอะขนาดไหนยังรักษาคำสอนปฏิปทาที่หลวงพ่อมอบให้ไว้หรือเปล่า ก็ให้กระผมได้ประชาสัมพันธ์ให้ญาติโยมผู้นั่งสมาธิ ๒๔ ชั่วโมงให้นั่ง ผู้ที่นั่ง ๑๒ ชั่วโมงให้นั่ง ผู้นั่ง ๖ ชั่วโมงให้นั่งแล้วก็จดชื่อนั้นไปถวายท่านปรากฏว่ามีคนนั่ง ๒๔ ชั่วโมงนั้น ๒๔ คน นั่ง ๑๒ ชั่วโมงก็ประมาณสิบกว่าคนนี่แหละ นั่ง ๖ ชั่วโมงก็เยอะหน่อย ได้เอาชื่อไปกราบเรียนพระเดชพระคุณหลวงพ่อ

          ทุกวันนี้การที่จะนั่งสมาธิ ๒๔ ชั่วโมงนั้นทำจิตให้แน่นิ่งอยู่ในอารมณ์นั้นมันเป็นของหายาก เพราะอารมณ์มันมากมายเหลือเกิน เมื่อสมาธิไม่เกิดขึ้นมาความอัศจรรย์ในพุทธศาสนามันเกิดขึ้นมาไม่ได้ ให้เราพิจารณาดูวิชชา ๓ ปฏิสัมภิทาญาณ ๔ อภิญญา ๖ อันเป็นของวิเศษในพุทธศาสนานั้นอาศัยอะไรเป็นเหตุให้เกิดวิชชา ๓ อาศัยอะไรเป็นเหตุให้เกิดอภิญญา ๖ อาศัยเหตุอะไรให้เกิดปฏิสัมภิทาญาณทั้ง ๔

          ท่านกล่าวไว้ในสมาธินิเทศ ในวิสุทธิมรรคนั้นท่านกล่าวว่าวิชชา ๓ นั้นถ้าผู้ใดสามารถได้จตุตถฌาน คือได้ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน ได้บรรลุมรรคผลนิพพานก็สามารถที่จะยังวิชชา ๓ ให้เกิดขึ้นมาได้ แต่ถ้ายังไม่ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์อาสวักขยญาณไม่เกิด แต่วิชชา ๒ เบื้องต้นถ้าบุคคลนั้นได้จตุตถฌานก็สามารถที่จะเกิดขึ้นมาได้เรียกว่าอนุวิชชา ๓ คืออาสวักขยญาณยังไม่เกิดแต่มีบุญบารมีที่จะระลึกชาติหนหลังได้ ก็จะเกิดอนุวิชชา เกิดความระลึกตามรู้ในชาติหนหลังได้ตามบุญวาสนาบารมีของตน อาจจะระลึกได้ชาติหนึ่งบ้างสองชาติบ้างสามชาติบ้าง

          ดังที่มีภิกษุรูปหนึ่งมาประพฤติปฏิบัติธรรม เมื่อประพฤติปฏิบัติธรรมแล้วเกิดสติปรากฏชัดมากเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้นึกถึงอดีตที่ตนเองเคยกระทำมา นึกไปถึงตนเองเคยเป็นฆราวาสเคยเป็นหนุ่ม ก็นึกย้อนหลังลงไปตนเองเคยเป็นเด็ก นึกย้อนหลังลงไปตนเองเคยเป็นทารกคลานไปมาอย่างโน้นอย่างนี้จำได้ แล้วก็นึกลงไปจนเป็นเด็กคลาน ภิกษุรูปนั้นก็ไปกราบเรียนพระเดชพระคุณหลวงพ่อ พระเดชพระคุณหลวงพ่อบอกว่าเป็นอาการปรากฏชัดของสติอาจจะเป็นผู้มีบารมีระลึกอดีตชาติต่างๆ ได้ แต่ถ้ามีบารมีมากกว่านั้นก็จะระลึกเห็นตนเองนอนคุดคู้อยู่ในท้องของมารดา ท่านกล่าวว่าถ้ามีสติมากไปกว่านั้นมีบารมีมากไปกว่านั้นสติมันสมบูรณ์มากกว่านั้นก็จะเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ระลึกข้ามภพข้ามชาติว่า ภพก่อนโน้นเราเป็นลูกของใครเกิดมาอยู่ในบ้านใดตำบลใดมีผิวพรรณมีหน้ามีตาเป็นอย่างไร สามารถที่จะระลึกได้หนึ่งชาติบ้างสองชาติบ้างสามชาติบ้างร้อยชาติพันชาติก็แล้วแต่บุญวาสนาบารมี มันเกิดขึ้นมาจากอำนาจของสติของสมาธิแต่ถ้าไม่มีสติไม่มีสมาธิแล้วก็ไม่สามารถที่จะยังสิ่งเหล่านี้ให้เกิดขึ้นมาได้

          หรืออภิญญา ๖ ก็เหมือนกันถ้าบุคคลใดยังไม่ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์แต่ว่าได้จตุตถฌานก็สามารถที่จะยังอภิญญา ๕ อย่างใดอย่างหนึ่งปรากฏขึ้นตามบุญวาสนาบารมีของตน หรือปฏิสัมภิทาญาณทั้ง ๔ ท่านกล่าวไว้ในสมาธินิเทศว่าบุคคลนั้นผู้ที่จะยังปฏิสัมภิทาญาณทั้ง ๔ เกิดขึ้นมานั้นต้องได้รูปฌาน ได้อรูปฌานเสียก่อนจึงจะยังปฏิสัมภิทาญาณทั้ง ๔ ให้เกิดขึ้นมา ก็แสดงว่าบุคคลผู้ที่จะได้ปฏิสัมภิทาญาณทั้ง ๔ นั้นต้องได้ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน อากาสานัญจายตนฌาน วิญญานัญจายตนฌาน อากิญจัญญายตนฌาน เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน จึงจะยังปฏิสัมภิทาญาณให้เกิดขึ้นมาได้ ถึงบุคคลนั้นยังไม่ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ก็อาจจะสามารถยังอนุปฏิสัมภิทาให้เกิดขึ้นมาได้

          หรือบุคคลผู้ที่ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์แล้วแต่บารมีไม่มากก็ไม่สามารถที่จะยังปฏิสัมภิทาญาณทั้ง ๔ ให้บริบูรณ์ได้ ได้เป็นบางข้อก็มี ท่านกล่าวว่าเป็นอนุปฏิสัมภิทาเป็นความศักดิ์สิทธิ์ของพระศาสนาของเรา ความศักดิ์สิทธิ์ของพระศาสนาเรานั้นอยู่ที่มหัคคตาจิต จิตที่มีพลัง จิตที่มีอานุภาพ จิตที่มีอำนาจ จิตที่มีความขลัง จิตที่มีความศักดิ์สิทธิ์ อาศัยจิตดวงนี้สละโลก สละจากความยินดีในโลกทั้งหลายทั้งปวง เพราะถ้าปีติ สมาธิเกิดขึ้นแก่ผู้ใดผู้นั้นจะมีความหนักแน่นในรสของพระธรรม หนักแน่นในการประพฤติปฏิบัติธรรมไม่หลงโลกจนเกินไป เรียกว่ามีพอวัดพอเหวี่ยงกันในการต่อสู้รบกับกิเลสพันห้าตัณหาร้อยแปด

          แต่ถ้าไม่มีสมาธิแล้วการที่จะทำความอัศจรรย์ให้เกิดขึ้นในพระศาสนานั้นเป็นสิ่งที่เลือนรางเหลือเกิน อาจจะเป็นภาพที่เคยมีในอดีต อาจจะเป็นเรื่องจริงที่ปรากฏในอดีต พุทธประวัตินั้นไม่ใช่เป็นสิ่งที่เล่าขานกันมาแต่เป็นเรื่องจริงที่ปรากฏในพุทธศาสนา พระไตรปิฎกทั้งหมดไม่ใช่นิทาน ไม่ใช่เรื่องที่เล่ามา แต่เป็นเรื่องปรากฏจริงที่พระพุทธองค์ทรงตรัสแล้วบันทึกจารึกไว้เป็นขั้นเป็นตอนเป็นช่วงเป็นระยะมาตลอด เป็นเรื่องจริงที่เคยมีมาในอดีต

          แต่ถ้าเราสามารถยังสมาธิสมาบัติให้เกิดขึ้นในปัจจุบันก็สามารถจะยังสิ่งเหล่านั้นให้เกิดขึ้นมา ดังที่เราเห็นคณะครูบาอาจารย์ทุกรูป ทุกท่าน ไม่ต้องกล่าวไปไกล กล่าวเรื่องนิมิตอย่างนี้ ท่านกล่าวว่านิมิต แปลตามบาลีแปลว่าเครื่องหมาย สิ่งบอกให้รู้ว่าเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ แต่เรานั่งภาวนานั้นนิมิตก็หมายถึงสิ่งที่มาปรากฏในขณะที่เราอยู่ในอุปจารสมาธิ บางครั้งมันก็ปรากฏนิมิตบางครั้งมันก็ไม่ปรากฏนิมิต แล้วแต่เหตุแล้วแต่ปัจจัยของมันแต่เมื่อมันปรากฏนิมิตขึ้นมาแล้ว บุคคลผู้ไม่ปรากฏนิมิตก็ไม่รู้ว่ามันเป็นอย่างไร จะอธิบายอย่างไรก็อธิบายไม่ได้ เพราะอะไร เพราะว่าจิตของเขาไม่เข้าถึงอุปจารสมาธิ ถึงเข้าถึงอุปจารสมาธิบุญวาสนาบารมีที่จะให้เกิดนิมิตต่างๆ นั้นมันไม่ปรากฏขึ้นมา ยังไม่เชื่อยังไม่เกิดความตื้นตันใจ ไม่เกิดความรู้ในเรื่องนิมิตก็จะไม่เข้าใจ

          อย่างคนที่นั่งไปแล้วเห็นเปรตเห็นผีมาปรากฏตามทางเดินจงกรม ตามต้นไม้ชายคา จะว่ามันไม่มีก็ไม่ใช่ คณะครูบาอาจารย์ญาติโยมที่มาประพฤติปฏิบัติธรรมบางคนบางท่านมีบารมีในเรื่องนี้ ก็เห็นเปรตมันห้อยตามต้นไทรบ้าง ห้อยตามโน้นตามนี้บ้าง ทั้งๆ ที่เราก็เดินไปเดินมา คนทั้งหลายเดินไปเดินมาทำไมไม่เห็นเพราะว่าบุญวาสนาบารมีมันต่างกัน  พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านเคยกล่าวไว้ มีภิกษุรูปหนึ่งเห็นเปรต มันเอาขาห้อยต้นมะม่วง เอามือแขวนต้นมะม่วง ทำลิ้นทำตาห้อยทำน่าเกลียดน่ากลัวแต่ท่านก็ไม่พูดอะไร เมื่อภิกษุรูปนั้นมากล่าวกับท่านแล้ว มาบอกท่าน ท่านก็เลยว่ามีพยานหลักฐานแล้วก็เทศน์ในเรื่องเปรตได้

          เพราะฉะนั้นสิ่งทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้มันเกิดขึ้นมาจากการประพฤติปฏิบัติ คือ อำนาจของความขลังความศักดิ์สิทธิ์ คือ สมาธิ แต่สิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่เป็นสมถะเป็นสมาธิก็ไม่เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้หมดกิเลสได้ แต่เมื่อยกจิตยกใจขึ้นสู่อารมณ์ของวิปัสสนากัมมัฏฐานก็จะเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ได้บรรลุมรรคผลนิพพานไว

          ครั้งหนึ่งได้ไปสอบอารมณ์กับพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ท่านกล่าวว่าผู้ใดมีสมาธิมากเข้าสมาธิได้ไว ๕ นาทีเข้า ๑๐ นาทีเข้า ๑๕ นาทีเข้า ถอยออกถอยเข้าเป็นประจำท่านว่าดี บุคคลเช่นนั้นสามารถบรรลุมรรคผลนิพพานได้ไวเหมือนกับพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ ท่านกล่าวไว้อย่างนั้น

          เพราะถ้ามันดับด้วยอำนาจของฌานชวนวิถีก็เป็นฌานไป แต่ถ้าดับด้วยอำนาจของมรรควิถีวิปัสสนาญาณมันเกิด อนุโลมญาณมันเกิด พระไตรลักษณ์มันเกิดในขณะนั้น มรรควิถีมันเกิดก็จะมาสามารถบรรลุมรรคผลนิพพานได้ไว เพราะอะไร เพราะกำลังของสมาธินั้นมันเพียงพอแล้ว รอแต่การพิจารณารูปนามให้เห็นเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา รอวิปัสสนาญาณแก่กล้า รอความสมบูรณ์ของอนุโลมญาณ วิปัสสนาญาณก็จะบรรลุมรรคผลนิพพานได้

          กล่าวธรรมที่ได้เคยมีประสบการณ์จากพระเดชพระคุณหลวงพ่อถวายคณะครูบาอาจารย์ก็เห็นว่าพอสมควรแก่เวลา ก็ขอให้คณะครูบาอาจารย์ญาติโยมทั้งหลายทั้งปวงได้ขยับขยายคลายอิริยาบทกำหนดออกจากการภาวนาเพื่อเตรียมตัวแผ่เมตตา.