กายวาจาใจ สามารถพัฒนาได้

กายวาจาใจ สามารถพัฒนาได้

พระภาวนาสุตาภิรัต (ชอบ พุทฺธสโร)

(๑๕ ธ.ค. ๖๖)

        การที่เราทั้งหลายทั้งปวงได้มานั่งภาวนารวมกันทุกวัน หลังจากที่เราได้ทำวัตรสวดมนต์เสร็จลงไปแล้ว ก็ถือว่าเป็นการอบรมกายของเรา เป็นการอบรมวาจาของเรา เป็นการอบรมใจของเรา ให้มีสุขภาพกายวาจาใจที่ดีขึ้น โดยอาศัยความสงบ อาศัยหลักธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา เพราะอะไร เพราะว่ากาย วาจา ใจ ของเรานั้น สามารถที่จะพัฒนาได้ กายวาจาใจของเรานั้นก็เปรียบเสมือนกับเหล็กที่เขาเอาไปเผาไฟให้ร้อนๆ จะตีเป็นมีดก็ได้ จะตีเป็นพร้าโต้ก็ได้ จะตีเป็นจอบก็ได้ จะตีเป็นเสียมก็ได้ หรือว่าจะตีเป็นเคียว เป็นคราด เป็นไถ อะไรต่างๆ ก็อาศัยการตีเหล็กนี่แหละ ตีเหล็กร้อนๆ ให้มันสำเร็จประโยชน์ตามความต้องการ เราจะทำมีด เราก็เอาเหล็กนั้นตีให้มันเป็นมีด เราจะทำมีดปลายแหลม เราก็ตีเหล็กนั้นให้เป็นมีดปลายแหลมได้ เราจะทำเป็นจอบเป็นเสียมต่างๆ เราก็สามารถที่จะเผาเหล็กให้มันร้อนๆ แล้วก็ตีเหล็กนั้นให้เป็นรูปต่างๆ ได้ ข้อนี้ฉันใด

         กายของเราก็เหมือนกัน วาจาของเราก็เหมือนกัน ใจของเราก็เหมือนกัน ถ้าเราสามารถที่จะอาศัยพระธรรม หรือตบะธรรรมอันเป็นเครื่องยังกิเลสให้ร้อนเนี่ย เผากายวาจาใจของเรา แล้วก็ใช้สติ ใช้สัมปชัญญะ ใช้สมาธิ ใช้วิปัสสนา ใช้ปัญญา เป็นเครื่องตี ตีกายตีวาจาตีใจของเรา ให้เกิดศีล ให้เกิดสมาธิ ให้เกิดปัญญา ให้รู้เท่าทันปัจจุบันธรรม ให้รู้เท่าทันความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ของรูปของนาม อันนี้เรียกว่าเป็นการตีนะ แต่เป็นการตีตามอริยวินัย เป็นการพัฒนาใจของเราให้มีความพัฒนาด้วยหลักธรรมที่สูงยิ่งๆ ขึ้นไป

         ร่างกายของเรา วาจาของเรา ใจของเรานี้ เปรียบเสมือนกับไม้กายสิทธิ์ เราปรารถนาสิ่งใดๆ เราก็อาศัยกายวาจาใจของเรานี่แหละ เราอยากได้มนุษย์สมบัติ เราก็อาศัยกายวาจาใจของเรานี่แหละให้ทาน รักษาศีล เจริญธรรม ๕ ประการ ให้เกิดขึ้นมาในขันธสันดาน เราก็สามารถที่จะมาเกิดเป็นมนุษย์ได้ แต่ถ้าเราอยากจะไปเกิดเป็นเทวดา เราก็อาศัยกายวาจาใจของเรานี่แหละรักษาศีล มีศีล ๘ ประการ นอกจากรักษาศีล ๘ ประการแล้ว เรายังให้ทาน เรายังไหว้พระ ทำวัตรสวดมนต์ เจริญสมถกรรมฐาน แต่ยังไม่ได้ฌาน เราก็สามารถไปเกิดเป็นเทวดาชั้นใดชั้นหนึ่งได้ตามอานุภาพแห่งบุญของเรา

         หรือว่าเราอยากจะไปเกิดในพรหมโลก เราก็อาศัยกายอาศัยวาจาอาศัยใจของเรานี่แหละ เดินจงกรม นั่งภาวนา กำหนดพองหนอยุบหนอ หรือว่า พุทโธ พุทโธ เป็นต้น จนจิตใจของเราเข้าถึงอารมณ์แห่งฌานมีปฐมฌานเป็นต้น เราตายไปแล้วเราก็ไปเกิดในพรหมโลกตามอานุภาพแห่งฌานของเราได้ หรือว่าเราต้องการที่จะไปถึงพระนิพพาน เราก็ต้องอาศัยกายวาจาใจของเรานี่แหละ เราจึงไปถึงซึ่งพระนิพพานได้ โดยการอาศัยกายวาจาใจของเรานี้เดินจงกรมนั่งภาวนา เหมือนญาติโยม เหมือนคณะครูบาอาจารย์กำลังปฏิบัติธรรมอยู่นี้แหละ ยกส้นหนอ ยกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ พองหนอ ยุบหนอ เห็นต้นพอง กลางพอง สุดพอง เห็นต้นยุบ กลางยุบ สุดยุบ เป็นต้น เป็นเหตุให้เราเห็นรูปเห็นนามเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก็เสื่อมไป

         เราปรารถนาสิ่งใดๆ ได้สิ่งนั้นๆ น่ะ ก็เพราะอาศัยกายวาจาใจของเราที่ประกอบไปด้วยธรรม เราปรารถนาเป็นเจ้าฟ้ามหากษัตริย์ ก็อาศัยบำเพ็ญจากร่างกายของเรานี่แหละ บำเพ็ญการให้ทาน บำเพ็ญการรักษาศีล เราก็สามารถไปเกิดเป็นเจ้าฟ้ามหากษัตริย์ ทำบุญใหญ่ทำอานิสงส์ใหญ่ให้เกิดขึ้นมา เราก็สามารถไปเกิดเป็นเจ้าฟ้ามหากษัตริย์ได้ หรือเราปรารถนาเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ก็อาศัยกายวาจาใจของเรานี่แหละทำบุญทำทาน แล้วก็ปรารถนาเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ เราก็ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดินะ หรือว่าเราปรารถนาเป็นองค์อินทร์ พระอินทร์ในสมัยก่อนก็เป็นมฆมาณพ ก็บำเพ็ญทานต่างๆ สร้างศาลาเป็นต้น ก็ไปเกิดเป็นท้าวสักกะได้นะ ก็อาศัยร่างกายของมนุษย์นี่แหละ จึงไปถึงซึ่งความเป็นท้าวสักกะได้ เป็นพระอินทร์ได้ ก็อาศัยความเป็นมนุษย์นี่แหละ ถ้าเราพูดง่ายๆ ก็คือ พระอินทร์ก็เกิดจากมนุษย์นี่แหละ บำเพ็ญที่โลกมนุษย์ของเรานี่แหละ จึงไปเกิดบนสวรรค์ หรือว่าพวกพรหมทั้งหลายทั้งปวง แต่ก่อนก็มาเป็นมนุษย์นี่แหละ มาเกิดในโลกมนุษย์ของเรานี่แหละ ด้วยอานุภาพแห่งฌานที่ตนเองบำเพ็ญ ด้วยอานุภาพแห่งสมาธิที่ตนเองบำเพ็ญในปัจจุบันในมนุษย์โลก แล้วฌานนั้นมันไม่เสื่อม ตายไปแล้วก็ไปเกิดในพรหมโลก

         เพราะฉะนั้น ถ้าเรากล่าวจริงๆ แล้วเนี่ย ความเป็นพรหมนั้นก็เกิดขึ้นมาจากมนุษย์โลกของเรานี่แหละ ไม่ได้เกิดขึ้นจากไหนนะ เกิดขึ้นจากความเป็นมนุษย์นี่แหละ แต่เป็นมนุษย์ที่บำเพ็ญฌาน ไม่ได้อยู่เฉยๆ นะ ไม่ใช่ว่าตายจากมนุษย์แล้วไปเกิดเป็นพรหมเลย พรหมโลกนั้นไม่ได้ไปเกิดด้วยอานุภาพแห่งทาน ไม่ได้ไปเกิดด้วยอานุภาพแห่งศีลที่ตนเองรักษา แต่ไปเกิดในพรหมโลกได้ด้วยอานุภาพแห่งการเจริญฌาน ถ้าผู้ใดไม่มีอุปนิสัยในความเป็นพรหมเนี่ย เวลาเกิดมาในมนุษย์นี่ก็นั่งภาวนาก็จิตใจสงบยาก เวลาเราจะเดินจงกรมมันก็สงบยาก เวลาเราจะนั่งภาวนามันก็สงบยาก จิตใจมันคิดมันปรุงมันแต่งมันฟุ้งซ่านไปต่างๆ นานา แต่ผู้ใดที่เคยไปเกิดเป็นพรหมอยู่เรื่อยๆ เวลามาเกิดเป็นมนุษย์ ตายจากพรหมมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็เป็นผู้ที่มักน้อยสันโดษ เป็นผู้สมถะ ชอบสันโดษ ชอบเงียบ ชอบสงัด ไม่ชอบคลุกคลีกับบุคคลอื่น แล้วเวลาออกเจริญภาวนาก็จิตใจสงบเป็นฌานไว ได้ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน เป็นต้นไว อันนี้เรียกว่าอุปนิสัยเดิมที่ได้กระทำไว้แต่ก่อนมาหนุนมาอุปถัมภ์ ก็เลยทำให้เข้าถึงฌานได้ไว บุคคลผู้เข้าถึงฌานแล้วเนี่ย ฌานไม่เสื่อม ตายไปก็ไปเกิดเป็นพรหม สรุปแล้ว พรหมนั้นก็เกิดจากมนุษย์นี่แหละ

         นอกจากนั้น การไปถึงพระนิพพานก็เกิดขึ้นมาจากความเป็นมนุษย์นี่แหละ มนุษย์เรานี่เป็นได้ทุกสิ่งทุกอย่างนะ แม้แต่พระปัจเจกพุทธเจ้าก็เกิดขึ้นมาจากความเป็นมนุษย์นะ ท่านกล่าวว่า มีบิดาคนหนึ่ง พาลูกชาย ๗ คนไปหาฟืนที่ป่าจนถึงเวลาพลบค่ำ เมื่อถึงเวลาพลบค่ำแล้วก็พากันมาถึงสระแห่งหนึ่ง ซึ่งสระนั้นก็เป็นสระใหญ่แล้วก็มีดอกบัวที่สวยงาม ก็พากันนั่งพักอยู่ที่คันสะนั่นแหละ แต่พอดีมีกุมาริกาคนหนึ่ง คือมีหญิงสาวคนหนึ่งกำลังเก็บดอกบัวอยู่ในสระ นางก็ร้องเพลงนะ นางก็ร้องเพลงว่าดอกบัวนี้เนี่ย เมื่อดวงอาทิตย์สาดส่องท้องฟ้าแล้วเนี่ย ดอกบัวนี้ได้รับแสงดวงอาทิตย์แล้วก็บานสะพรั่งสวยงาม แต่เมื่อเวลาผ่านไปแล้วเนี่ย หลอกบัวนี้มันก็ร่วงโรยลงไป บิดาพร้อมด้วยลูกชายทั้ง ๗ คนนั้นก็พิจารณาตามคำร้องของนางนะ ในที่สุดบิดาก็ดี บุตรชายทั้ง ๗ คนก็ดี พิจารณาตามคำร้องของนางอยู่อย่างนั้นแหละ ทั้ง ๘ คนได้บรรลุเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้านะ เมื่อบรรลุเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้วก็พากันเหาะไปอยู่ที่ภูเขาคันธมาส เมื่อรวมความแล้ว พระปัจเจกพุทธเจ้าเนี่ยก็เกิดขึ้นมาจากความเป็นมนุษย์

         นอกจากนั้น องค์สมเด็จพระพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก็เกิดขึ้นมาจากความเป็นมนุษย์นี่นะ พระองค์ทรงเกิดอยู่ที่สวนลุมพินีวัน โน้นอยู่ระหว่างกรุงเทวทหะกับกรุงกบิลพัสด์ต่อกัน เมื่อพระองค์ทรงประสูติก็เป็นบุคคลเหมือนกับมนุษย์ทั่วไปนั่นแหละ แต่เป็นมนุษย์ที่ประกอบด้วยบุญญาธิการ ประกอบไปด้วยบุญที่สั่งสมมามาก เป็นมนุษย์ที่บำเพ็ญบารมีครบ ๓๐ ทัศ บำเพ็ญบารมีมายาวนานถึง ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป เป็นมนุษย์ที่พิเศษด้วยบุญนะ แต่ก็เป็นมนุษย์นี่แหละ แล้วพระองค์ก็ออกบวชแล้วก็ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็มาจากความเป็นมนุษย์นี่แหละ

         เพราะฉะนั้น บุคคลได้มาเกิดเป็นมนุษย์นี่ถือว่าเป็นบุญใหญ่ แต่ถ้าผู้ใดทำบาปทำกรรมก็ไปเกิดในนรกได้ ไปเกิดเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉานได้ สัตว์นรกก็ดี เปรตก็ดี อสุรกายก็ดี สัตว์เดรัจฉานก็ดี เขาก็ไปจากมนุษย์นี่แหละนะ ทำบาปทำกรรมจึงได้ตายไปเกิดในนรก ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ ก็ไปตกนรกเลยไม่ใช่นะ ต้องเกิดขึ้นจากการทำบาปกรรมเสียก่อน จึงได้ไปเกิดในนรก แต่ถ้าเราทำบุญทำกุศลแล้วเราจะไปเกิดในนรกนั้นไม่ได้นะ ถ้าเราตายด้วยอานุภาพแห่งบุญเราต้องมาเป็นมนุษย์ไปเกิดบนสวรรค์ ผู้ที่ตายแล้วด้วยอานุภาพแห่งบาปเนี่ยจึงได้ไปเกิดในนรกนะ เพราะฉะนั้น นรกนั้นจึงเป็นที่อยู่ของบุคคลผู้ทำบาป เป็นสถานที่ปราศจากความสุข แม้เราหายใจเข้าจะมีความสุขก็หายากนะ ความสุขแม้แค่กระพริบตาในนรกก็ไม่มีนะ มีแต่ไฟที่เผาผลาญอยู่ตลอดเวลา

         หรือว่าบุคคลผู้ไปเกิดเป็นเปรตก็ดี เป็นอสุรกายก็ดี ก็มาจากความเป็นมนุษย์นี่แหละนะ ไปจากความเป็นมนุษย์ของเรานี่แหละ ไม่ใช่อยู่ดีๆ ก็ไปเป็นเปรตเป็นอสุรกายเลยไม่ใช่นะ พื้นเพของเปรตก็ดี พื้นเพของอสุรกายก็ดีนี่ ก็มาจากความเป็นมนุษย์ของเรานี่แหละ ทำบาปทำกรรม มีความโลภ กอบโกย โกงกิน มือไครยาวสาวได้สาวเอา ปลาใหญ่กินปลาน้อย หลอกลวงต้มตุ๋น อะไรต่างๆ ก็เลยเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ไปเกิดเป็นเปรตเป็นอสุรกาย คือตายด้วยจิตที่มันเกิดความโลภ ถ้าผู้ใดตายด้วยจิตที่โลภเนี่ย ก็ต้องไปเกิดเป็นเปรตเป็นอสุรกาย ไม่อยากไปเกิดมันก็ต้องไปเกิดนะ เพราะอะไร เพราะว่าจิตโลภเนี่ย จะพามาเกิดเป็นมนุษย์ก็ไม่ได้ จิตโลภนี่จะพาไปเกิดบนสวรรค์ก็ไม่ได้ จิตโลภนี่ต้องพาไปเกิดเป็นเปรตเป็นอสุรกายอย่างเดียว เป็นอย่างอื่นไม่ได้แล้วนะ เพราะว่ามันตายด้วยความโลภ เพราะฉะนั้น มันไปตามเหตุที่ตนเองกระทำในความเป็นมนุษย์

         สรุปแล้วก็คือ ผู้ที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วนี่ ถือว่าเป็นบุญล้นฟ้าล้นดินแล้วนะ เพราะฉะนั้น เมื่อเราได้มาเกิดเป็นมนุษย์แล้วเนี่ย ขอให้เราทั้งหลายทั้งปวงได้ตั้งอยู่ในคุณธรรมอันเป็นของมนุษย์ โดยจะเฉพาะศีล ๕ ถ้าเรามีศีลแล้วเนี่ย เราให้ทาน เราไหว้พระ ทำวัดสวดมนต์เป็นต้น ก็เป็นความบริบูรณ์ของความมีศีล ๕ นะ ถ้าเรามีแต่ศีลอย่างเดียว เราไม่มีทานเนี่ย เกิดมาแล้วเราไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ เกิดมาแล้วเรามีความสวยความงาม แต่เรายากจน เพราะเราไม่เคยให้ทาน ถ้าเรารักษาศีลอย่างเดียวก็มีแต่ความสวยความงาม แต่เกิดมาแล้วเป็นคนยากจน มันก็ไม่บริบูรณ์นะ เพราะฉะนั้น เมื่อเรารักษาศีลเพื่อความเป็นมนุษย์แล้วเนี่ย เราก็ให้ทานนะ บริจาคทาน อนุเคราะห์สงเคราะห์แก่สมณชีพราหมณ์ แก่คนยากจนคนอนาถาต่างๆ ตลอดถึงการดูแลบิดามารดาเป็นต้น ก็เป็นเหตุให้เราร่ำรวยขึ้นมา เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วก็มีความสวยงามด้วย นอกจากนั้นก็มีโภคทรัพย์มากมาย

         ผู้ใดไม่เคยเจริญภาวนา ไม่เคยเจริญสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน เกิดภพหน้าชาติหน้าก็เป็นคนสวยงามด้วยอำนาจแห่งศีล แล้วก็เป็นคนร่ำรวยด้วยอานุภาพแห่งทาน แต่เป็นคนโง่เขลาเบาปัญญา รวยอยู่ สวยอยู่ แต่ไม่มีปัญญา มีทรัพย์มากก็ถูกเขาโกง มีทรัพย์มากก็ถูกเขาหลอกเขาลวง อะไรทำนองนี้ เพราะอะไร เพราะว่าไม่มีปัญญา เพราะฉะนั้น บุคคลผู้มีความสวยด้วยอำนาจแห่งศีล ผู้มีความรวยด้วยอำนาจแห่งทานแล้วเนี่ย อยากจะมีสติมีปัญญามีความสามารถ ก็ต้องภาวนา เจริญสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน เพื่อที่จะให้เกิดความเป็นผู้มีปัญญาเฉลียวฉลาดเปรื่องปราชญ์ชาติกวี มีไหวพริบดี มีปฏิภาณดี มีโวหารดี

         เพราะฉะนั้น ผู้ใดอยากสวยอยากรวยอยากมีปัญญา ก็ต้องรักษาทั้งศีล ให้ทั้งทาน เจริญทั้งภาวนา ทั้งสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน ความเป็นมนุษย์เนี่ยมันเกิดขึ้นมาได้ เราอยากจะไปเกิดในที่ใดๆ เราก็เลือกได้นะ โดยการบำเพ็ญในการที่จะให้เกิดในที่นั้นๆ

         โบราณท่านบอกว่า เวลาเราอยากจะไปเกิดเป็นเทวดา เป็นพรหม เป็นเจ้าฟ้ามหากษัตริย์ เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ อะไรต่างๆ เนี่ยเราเลือกไปเกิดในที่นั้นในขณะนั้นไม่ได้ แต่เราเลือกบำเพ็ญคุณธรรมที่จะให้ไปเกิดในที่นั้นๆ ได้ เหมือนพระอินทร์ตอนเป็นมฆมาณพนั่นแหละ เลือกที่จะไปเกิดเป็นพระอินทร์ก็ต้องบำเพ็ญวัตตบท ๗ ประการ เมื่อบำเพ็ญวัตตบท ๗ ประการบริบูรณ์แล้ว ก็ไปเกิดเป็นพระอินทร์ได้ เหมือนกับพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะเลือกที่จะเป็นอัครสาวกเบื้องขวาเบื้องซ้าย ก็ต้องบำเพ็ญบารมีมายาวนานนะ นับตั้งแต่สมัยที่พระสารีบุตรเป็นดาบส นับตั้งแต่พระโมคคัลลานะเป็นสิริวัฒนเศรษฐีนั่นแหละ ตั้งความปรารถนามาตั้งแต่นั้นมา บำเพ็ญบารมีมายาวนาน แล้วก็มาได้สำเร็จเป็นพระอัครสาวกในที่สุด

         แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราเนี่ย ปรารถนาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในสมัยนู้น ในสมัยที่พระองค์ทรงเป็นสุเมธดาบส นอนทอดสรีระให้พระพุทธเจ้าพระนามว่าทีปังกรพร้อมด้วยพระอรหันต์ ๒๐,๐๐๐ รูปเดินข้าม หลังจากนั้นมาก็อธิษฐานว่าขอให้ข้าพเจ้าได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งในอนาคตกาลข้างหน้า นับตั้งแต่นั้นมา บำเพ็ญบารมี ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป บำเพ็ญมาทุกภพทุกชาติ จนในที่สุดก็ได้สำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ นี่บำเพ็ญเอานะ อยากจะไปเกิดเป็นอะไร เราก็ต้องบำเพ็ญเอา เหมือนกับพระพุทธเจ้า เหมือนกับเหล่าอัครสาวก เหมือนกับพระอินทร์นั่นแหละ ต้องบำเพ็ญเอา เราทั้งหลายทั้งปวง เป็นพระก็ดี เป็นเณรก็ดี เป็นญาติโยมก็ดีเนี่ย อยากได้อะไร อยากได้ความรวยก็บำเพ็ญเอา อยากได้ความสวยก็บำเพ็ญเอา อยากได้ฌานก็ต้องบำเพ็ญสมาธิบำเพ็ญสมถกรรมฐาน อยากได้วิปัสสนาได้มรรคผลพระนิพพานก็ต้องบำเพ็ญวิปัสสนานั่นแหละ เราอยากได้อะไรก็ต้องบำเพ็ญเอา วันนี้อาตมภาพได้กล่าวธรรมเห็นว่าพอสมควรแก่เวลา.