วัฏฏสงสาร

วัฏฏสงสาร


            …..ขึ้นมานัตต์ พอขึ้นมานัตต์แล้วก็จะได้ประพฤติมานัตต์ ๖ ราตรี เมื่อครบ ๖ ราตรีแล้วก็ต้องเป็นอัพภานารหภิกษุ เป็นภิกษุผู้ที่ควรแก่อัพภานแล้วท่านก็จะได้อัพภาน  

            เพราะฉะนั้นเวลาของญาติของโยมที่จะได้สั่งสมอบรมคุณงามความดีก็มีอีกประมาณ ๖ วัน เพราะฉะนั้นก็ขอให้ญาติโยมทั้งหลายจงตั้งใจ ขยัน หมั่นทำทาน มาไหว้พระ ทำวัตร สวดมนต์ เจริญภาวนา พร้อมกับคณะครูบาอาจารย์ไปด้วย เพราะว่าปีหนึ่งมีครั้งเดียว โอกาสที่เราจะได้ฝึกหัด ฝึกฝน อบรมกาย วาจา ใจ ของตน ปีหนึ่งมีครั้งเดียว เราเสียสละเวลาทำการงานอย่างอื่นเพื่อที่จะเลี้ยงชีวิตของเรา เรายังเสียสละได้ แต่เราเสียสละเพื่อทำคุณงามความดีใส่ตนเอง เพื่อที่จะเป็นเสบียงในการเดินทางไปสู่ภพน้อยภพใหญ่นั้นเราเสียสละไม่ได้ เราก็จะพลาดโอกาสจากการทำคุณงามความดีนี้ไป

            ซึ่งวันนี้อาตมภาพก็จะได้น้อมนำเอาธรรมะในเรื่อง วัฏฏสงสาร มาบรรยายให้ญาติโยมทั้งหลายได้สดับรับฟัง พอเป็นแนวทางแก่การประพฤติปฏิบัติธรรม เพราะว่าการประพฤติปฏิบัติธรรมนั้นต้องปรับปรุงจิตใจเสียก่อน ต้องปรับปรุงจิตใจนั้นให้เกิดความเบื่อหน่ายในการเกิด การแก่ การเจ็บ การตายเสียก่อน ต้องทำให้จิตใจของเรานั้นเกิดความอยากทำบุญทำทาน อยากเดินจงกรม นั่งภาวนาเสียก่อน เพราะฉะนั้นอาตมาจึงได้นำเรื่องวัฏฏสงสารนั้น มากล่าวเป็นลำดับที่ ๓

            คำว่าวัฏฏสงสารนั้นเป็นคำมาจากภาษาบาลี ซึ่งประกอบกันไปด้วย ๒ คำ คำแรกก็คือ วัฏฏะ คำที่สองก็คือ สงสาร คำว่าวัฏฏะนั้นแปลว่า วน ก็ได้ แปลว่าหมุน แปลว่ากลิ้ง แปลว่าเวียน แปลว่าล้มลุกคลุกคลาน กลับไปกลับมาก็ได้ อันนี้เป็นความหมายของคำว่าวัฏฏะ สงสารมาจากคำภาษาบาลีว่า สังสาระ แปลว่าการท่องเที่ยว หรือว่าการแล่นไปสู่ภพน้อยภพใหญ่ ไม่รู้จักสิ้นสุด เมื่อต่อกันเข้า คำว่าวัฏฏสงสารนั้นก็แปลว่า การท่องเที่ยวหมุนเวียนวนกลับไปกลับมา ไม่รู้จักสิ้นสุด

            เพราะฉะนั้นคำว่าวัฏฏสงสารนั้นอาจจะเคยชินหูผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนา แต่คนที่จะเข้าใจคำว่าวัฏฏสงสารมากนั้นก็อาจจะไม่ค่อยมี เพราะฉะนั้นคำว่าวัฏฏสงสารนั้นแปลว่า การท่องเที่ยวที่ไม่รู้จักสิ้นสุด การหมุนเวียนที่ไม่รู้จักสิ้นสุด การแล่นไปที่ไม่รู้จักสิ้นสุด ไม่รู้ว่าเราจะสิ้นสุด การเกิด การแก่ การเจ็บ การตายนั้น ในภพใด ชาติใด

            เพราะฉะนั้นวัฏฏสงสารนั้นจึงเป็นสิ่งที่เราจะต้องพินิจพิจารณาว่า เราเกิดมานั้นเราจะข้ามพ้นวัฏฏสงสารซึ่งเป็นโอฆะแหล่งแก่งกันดารนี้ไปได้อย่างไร อะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เราหมุนไปในวัฏฏสงสาร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสไว้ ๓ ประการคือ

            ๑. กิเลสวัฏ กิเลสเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เรานั้นหมุน

            ๒. กัมมมวัฏ คือกรรม กรรมดี กรรมชั่วนี้แหละ เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เราหมุนไปในวัฏฏสงสาร

            ๓. วิบากวัฏ คือ ผลของบุญและบาปนั้นแหละเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เราหมุน

            ขอให้ญาติโยมทั้งหลายที่มาฟังธรรมนั้นจงตั้งใจเอามือขวาทับมือซ้ายให้ดี แล้วก็ส่งจิตส่งใจไปตามเสียงพระธรรมเทศนา กำหนดว่าได้ยินหนอๆ หรือว่า เสียงหนอๆ ก็จะเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เราได้สมาธิ เป็นการภาวนาไปด้วย สิ่งทั้ง ๓ ประการคือ ๑. กิเลส ๒. กรรม ๓. วิบาก คือผลของกรรมดีกรรมชั่วนี้แหละ เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เรานั้นหมุนเวียนวนไปมา ไม่รู้จักสิ้นสุด คือเมื่อเรามีกิเลส คือความโกรธ ความโลภ ความหลง คืออวิชชา ตัณหา ความทะเยอทะยานอยาก ในสิ่งต่างๆ ทะเยอทะยานอยากในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ การถูกต้องธรรมารมณ์ต่างๆ

            เมื่อเรามีกิเลสก็เป็นเหตุให้เราต้องทำดีบ้าง ทำชั่วบ้าง ทำกรรมที่เป็นบุญบ้าง ทำกรรมที่เป็นบาปบ้าง ผลของบาปนั้นก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เรานั้น หมุนเวียนไปในวัฏฏสงสารชั้นต่ำ แต่ถ้าเราทำบุญ ผลของบุญก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้หมุน ให้เรานั้นมาเกิดเป็นมนุษย์อีก หมุนเราไปเกิดเป็นเทวดา เป็นพรหม ตามอำนาจวาสนาบารมีของบุญที่เราได้สั่งสมอบรมไว้ มันก็หมุนเวียนเปลี่ยนไป กลับไปกลับมา เดี๋ยวเกิดในภพภูมิที่ดีบ้าง เดี๋ยวเกิดไปในภพภูมิที่ไม่ดีบ้าง สลับหมุนเวียนเปลี่ยนไปมาอยู่ในลักษณะอย่างนี้ นี้เป็นลักษณะของวิบาก นี้เป็นลักษณะของวัฏฏสงสาร เพราะฉะนั้นวัฏฏสงสารนั้นจึงหมุนเวียนวนกลับไปกลับมา ไม่รู้จักสิ้นสุด

            เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่มาศึกษาเราก็ไม่รู้หนทางที่จะออกจากวัฏฏสงสารได้ เพราะว่าสงสารนั้นยาวไกลมาก ถ้าเราไม่ศึกษาเราก็ไม่รู้จักหนทาง ว่าการออกจากวัฏฏสงสารนั้นเราจะออกอย่างไร ก็เหมือนกับเต่าตาบอด มีเต่าอยู่ตัวหนึ่งตาบอด ลอยอยู่ในทะเล เต่าตัวนั้นมันอยากจะข้ามฝั่งทะเล จากฝั่งนี้ไปสู่ฝั่งโน้น คิดดูซิว่าเต่าตาบอดนั้นมันจะข้ามฝั่งมหาสมุทรนี้ไปสู่ฝั่งสมุทรโน้นได้อย่างไร ถ้ามันจะแหวกว่ายไปมันก็ต้องถูกคลื่นซัด หรือว่าถูกอันตรายทั้งหลายทั้งปวง จากปลาร้ายทั้งหลายทั้งปวงนั้นมาทำอันตรายก็อาจจะเสียชีวิต

            เพราะฉะนั้นโอกาสที่เต่าตาบอดนั้นจะข้ามฝั่งมหาสมุทรไปได้นั้นเป็นสิ่งที่ยากนักยากหนา แต่ถ้ามีเรือหรือว่ามีแพมายกเต่านั้นขึ้นบนเรือ เต่านั้นก็อาจที่จะข้ามฝั่งมหาสมุทรได้ บุคคลผู้ที่เกิดมาแล้วไม่ได้ศึกษาพระธรรมคำสั่งสอน ไม่ได้ศึกษาเรื่องศีล ไม่ศึกษาเรื่องสมาธิ ไม่ได้ศึกษาเรื่องปัญญา ไม่ได้ศึกษาเรื่องวิปัสสนากรรมฐาน ก็เหมือนกับเต่าตาบอด ไม่รู้ว่าเราจะออกจากวัฏฏสงสารได้อย่างไร เหมือนกับมดแดงที่มันไต่ขอบร่ม โบราณว่า “ไต่ไปแล้วกะเหล่าคืน” ไม่สามารถที่จะรู้จักว่า ที่สิ้นสุดมันลงตรงไหนไม่รู้จัก ไต่ไปแล้วก็ไต่มาๆ

            การท่องเที่ยวไปในวัฏฏสงสารก็เหมือนกัน ไม่รู้ว่าที่สุดแห่งสังสารวัฏมันอยู่ตรงไหน ไม่รู้จักกงกรรมแห่งสังสารวัฏนั้นอย่างไร เพราะฉะนั้นเมื่อเรามาศึกษากรรมฐานเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เรานั้น สามารถที่จะข้ามพ้นวัฏฏสงสารได้ ถ้าเราไม่ได้ศึกษากรรมฐาน ก็ไม่ต่างอะไรกับคนตาบอด คนตาบอดประสงค์ที่จะพายเรือไปสู่ทะเลหลวงชลาลัยคือพระนิพพาน แต่คนตาบอดนั้นดันไปพายเรือในหนอง เมื่อคนตาบอดพายเรือในหนองก็พายกลับไปกลับมา พายทั้งวัน พายทั้งคืน พายเป็นเดือนเป็นปี ก็อยู่แค่ในหนอง

            บุคคลผู้ที่ไม่เคยศึกษาเรื่องกรรมฐานก็เหมือนกัน ทำบุญทำทาน ไหว้พระสวดมนต์ เจริญภาวนาสมถะกรรมฐาน แต่ก็ไม่ถึงพระนิพพานสักที ไม่สามารถที่จะหักกงกรรมแห่งสังสารวัฏคือวัฏฏสงสารได้ เพราะฉะนั้นบุคคลที่ไม่ได้ศึกษากรรมฐาน ก็ไม่ต่างอะไรกันกับคนที่ตาบอดพายเรือในหนอง เพราะฉะนั้นเรามาศึกษากรรมฐาน เรารู้ว่าเรามีกิเลส คือราคะ โทสะ โมหะ ว่ามี ราคะ โทสะโมหะ มานะ ทิฏฐิ ตัณหา เมื่อเรามีสิ่งเหล่านี้ก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เรา จิตใจของเราดีบ้าง ชั่วบ้าง บางครั้งก็ทำบุญ บางครั้งก็ทำบาป เมื่อเราทำบุญทำบาปก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เราได้รับวิบากคือ ผลของบุญและบาปนั้นต่างๆ นาๆ

            บางคนเกิดมาก็เป็นคนที่ร่ำรวย เป็นคนที่มีสติดี มีปัญญาดี มีรูปสวยสดงดงาม มีเสียงอันไพเราะ มีอายุยืน แต่ว่าบางคนเกิดมาแล้วผลของบาปมันติดตามมา เกิดมาแล้วเป็นคนหูหนวก ตาบอด ง่อยเปลี้ยเสียขา เป็นคนที่ไม่มีเสน่ห์ในตัวเอง เป็นคนดำเกินไป สูงเกินไป ขาวเกินไปในลักษณะอย่างนี้เรียกว่าเศษของบาปมันตามมา อันนี้ในลักษณะที่บาปมันให้ผล แล้วเศษมันติดตามมาก็จะเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เรานั้นเกิดความทุกข์ทรมาน

            เพราะฉะนั้นเรามาปฏิบัติธรรมเรามาฟังธรรมนี้ มาปฏิบัติเพื่อที่จะเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เรานั้นข้ามวัฏฏสงสาร เพราะการภาวนานั้นเราจะภาวนาชั่วช้างพัดหู งูแลบลิ้น ไก่ตบปีกก็ถือว่ามีอานิสงส์มาก จะเป็นบันไดให้เรานั้นไปถึงพระนิพพานได้ เพราะฉะนั้นวัฏฏสงสารนั้นจึงเป็นสิ่งที่ยาวไกลมาก

            องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสว่า บุคคลผู้เกิดมาในวัฏฏสงสารนั้นย่อมไม่รู้เบื้องต้น ย่อมไม่รู้ท่ามกลาง ย่อมไม่รู้ที่สุดว่าวันไหน ชาติไหน ภพไหน กัปใดเราจึงจะข้ามพ้นวัฏฏสงสารได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นพระองค์ทรงเปรียบไว้เหมือนกับต้นมะม่วง เวลาต้นมะม่วงมันเกิดขึ้นมาแล้วมันเจริญเติบโตขึ้นมาแล้วมันออกดอกออกผล เมื่อออกดอกออกผลแล้วผลของมันก็สุก ขณะที่ผลของมันสุกมันก็ร่วงลงไปแล้ว ได้ดิน ได้น้ำ ได้อากาศที่ดี ผลที่ร่วงลงไปนั้นก็สะสมเชื้อของมันคือ มันมียางอยู่ในนั้นมันก็ต้องเจริญงอกขึ้นมาอีก เป็นต้นมะม่วงขึ้นมาอีก เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วมันก็ออกดอกออกผลสุกอีกก็ร่วงลงอีกจนผลมะม่วงนั้นมันแผ่ไปทั่วทั้งประเทศ ทั่วทั้งโลก แล้วเราจะกำหนดได้หรือไม่ว่าต้นมะม่วงต้นแรกนั้นมันอยู่ที่ใด ต้นมะม่วงต้นแรกนั้นคือต้นไหนเราไม่สามารถที่จะกำหนดได้ ว่าต้นมะม่วงนั้นมันเกิดสลับซับซ้อนกันมาสืบทอดกันมาไม่รู้กี่ภพกี่ชาติแล้ว ไม่รู้กี่พันต้นแล้ว กี่แสนกี่ล้านต้น

            แล้วก็เปรียบเสมือนกับเรานั่นแหละเราสืบทอดมาจากใครเป็นต้นตอของคน ต้นตอของคนนั้นคือใคร เมื่อเราสืบทอดว่านายนี้เป็นพ่อของเรา นางนี้เป็นแม่ของเรา เมื่อสืบทอดไปคนที่เป็นพ่อเป็นแม่ของเราคือใคร แล้วคนที่เป็นพ่อของพ่อ แม่ของแม่ของเรานั้นคือใคร แล้วคนที่เป็นพ่อของแม่ของแม่นั้นต่อไปเรื่อยๆ นั้นคือใคร เรากำหนดไม่ได้ว่าใครคือ ต้นตอของคนนั้นเกิดอยู่ที่ใด ใครเป็นต้นตอวงศ์ตระกูลของเรานั้นเรากำหนดไม่ได้

            วัฏฏสงสารนั้นก็เหมือนกัน ก็เปรียบเสมือนกับ ไก่กับไข่นั่นแหละ เราว่าไก่เกิดก่อนไข่ก็ไม่ใช่ เราว่าไข่เกิดก่อนไก่ก็ไม่ใช่ ไก่มันเกิดมาจากไข่ ไข่มันเกิดมาจากไหน ไข่มันก็ต้องเกิดมาจากไก่ เรียกว่าไม่รู้จักสิ้นสุดว่าอะไรเป็นต้นตอที่แท้จริง เพราะฉะนั้นวัฏฏสงสารนั้นจึงยาวไกลมาก

            องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสว่า ถ้าจะให้บุคคลนั้นตัดเอาต้นไม้ทั้งหมด ถอนเอาทั้งต้นหญ้า ถอนเอาทั้งสิ่งที่เป็นพืชถอนมาแล้วก็ตัดเป็นมัดๆ ยาว ๔ นิ้ว มัดเป็นมัดๆ พืชหมดชมพูทวีปนี้ เมื่อเราตัดมาแล้วเป็นมัดๆ มัดละ ๔ นิ้ว

            เราสมมุติว่าบุคคลนี้เป็นพ่อของเรา บุคคลนี้เป็นแม่ของเรา จนต้นไม้ในชมพูทวีปนั้นมันหมดไป พ่อแม่ของเราต้นตอของเราก็ไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้นวัฏฏสงสารนั้นยาวไกลมาก สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก็ทรงตรัสว่าเราเอาก้อนดิน แผ่นดินของเราทั้งแผ่นนี้แหละปั้นเป็นก้อนเท่ากับกำปั้นของเรานี้ ก้อนนี้สมมุติว่าเป็นแม่นะ ก้อนนี้สมมุติว่าเป็นพ่อนะ ก้อนนี้สมมุติว่าเป็นแม่ของแม่นะ เป็นพ่อของพ่อนะ ก้อนนี้เป็นพ่อของพ่อของพ่อ ก้อนนี้เป็นแม่ของแม่ของแม่ไล่ไปจนแผ่นดินทั้งแผ่นหมดไป เราก็ไม่สามารถที่จะทำที่สุดแห่งวัฏฏสงสารได้ เพราะฉะนั้นวัฏฏสงสารนั้นจึงยาวไกลมาก

            น้ำตาของบุคคลผู้เกิดมาในวัฏฏสงสารนั้น เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วร้องห่มร้องไห้เพราะพ่อแม่ตายไป ร้องห่มร้องไห้เพราะผัวตายไป ร้องห่มร้องไห้เพราะเมียตายไป ร้องห่มร้องไห้เพราะลูกอันเป็นสุดที่รักนั้นตายไป น้ำตาของบุคคลนั้นน้ำในมหาสมุทรยังน้อยกว่าบุคคลผู้เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิด ร้องไห้เพราะพลัดพรากจากของรักของชอบใจ

            คิดดูซิว่าน้ำในทะเล ในมหาสมุทรนั้นมากมายขนาดไหน น้ำตาของเรามากกว่านั้น น้ำตาของเราที่เกิดมาในวัฏฏสงสารนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสว่า มากกว่านั้น คิดดูซิว่าเราจะเกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิดมากขนาดไหน เราเกิดชาตินี้เราเกิดขึ้นมา แก่แล้วก็เจ็บ เจ็บแล้วก็ตายเราเป็นทุกข์มากมายขนาดไหน เป็นทุกข์เพราะความเกิด ก่อนที่เราจะเกิดมันเป็นทุกข์ ทำไมจึงเป็นทุกข์

            เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสว่า บุคคลผู้ที่เกิดมานั้นแหละ ออกมาจากท้องของมารดา เมื่อเกิดอยู่ในปฏิสนธิในท้องของมารดานั้นแหละ ย่อมนั่งทับอาหารเก่าแล้วก็ทูลอาหารใหม่ในท่านั่งยองๆ เวลาแม่รับประทานอาหารที่ร้อนลูกอยู่ในท้องนั้นก็ได้รับความทุกข์ทรมาน เวลาแม่รับประทานอาหารเย็น ลูกที่อยู่ในท้องก็หนาวเหมือนกับว่าอยู่ในกองหิมะ เวลาแม่รับประทานอาหารเผ็ดตัวของลูกนั้นก็ร้อนเหมือนกับถูกพริก

            เพราะอะไร เพราะว่าการเกิดนั้นมันเป็นทุกข์ ชาติ ทุกขา ความเกิดนี้มันก็เป็นทุกข์ ขณะที่คลอดออกมาจากท้องมารดานั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสว่า เปรียบเสมือนกับออกมาจากช่องแห่งภูเขา คือเด็กนั้นถูกภูเขาทั้งสองลูกนั้นบีบรัดเอากว่าที่จะเอาออกมาได้ บางคนก็เอาหัวออกมาก่อนรอดชีวิต บางคนเอาขาออกมาก่อนก็ออกไม่ได้ บางครั้งต้องผ่าตัดออกมาต้องทรมานทั้งผู้เป็นลูก ต้องทรมานทั้งผู้เป็นแม่ บางคนก็เสียชีวิตตั้งแต่ในท้อง บางคนก็เสียชีวิตในขณะที่คลอดออกมา บางคนคลอดออกมาแล้วตัวแดงๆ อยู่ได้ไม่กี่วันก็ตายไป เพราะอะไร เพราะว่าชาติเกิดนั้นมันทุกข์ เพราะฉะนั้นวัฏฏสงสารนั้นถ้าเราเกิดบ่อยๆ มันก็เป็นทุกข์ เราเกิดชาตินี้ไม่รู้ว่ามันเป็นทุกข์มากมายขนาดไหน เดี๋ยวคนนั้นก็ทำให้เราเสียใจ บุคคลนั้นก็พูดให้เราเสียใจ คิดดูซิว่าเราเกิดมานั้นเป็นทุกข์มากขนาดไหน

            เพราะฉะนั้นถ้าเราเกิดมานานจนน้ำตาของเรานั้นเท่ากับมหาสมุทร คิดดูซิว่าเราจะเกิดมากมายขนาดไหน แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสต่อไปว่า เลือดในลำคอของเราที่ถูกเขาตัดคอนี้แหละ จากการเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานบ้าง เกิดเป็นวัว เกิดเป็นควาย ถูกเขาฆ่ากินบ้าง เกิดเป็นกวางถูกเขาฆ่าบ้าง เกิดเป็นหมูถูกเขาฆ่ากินบ้าง เกิดเป็นเป็ด เป็นไก่ เป็นปู เป็นปลาถูกเขาฆ่า เลือดในลำคอของเรามากกว่าน้ำในมหาสมุทร คิดดูซิว่าเราจะเกิดมากเกิดน้อยขนาดไหน หรือว่าเราเกิดมาเป็นมนุษย์เราทำทุจริตกรรม ทำทุจริตทางกาย วาจา หรือว่าวจีทุจริต เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เขาประหารชีวิตเรา เลือดในลำคอของเรานั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสว่า มากกว่าน้ำในมหาสมุทร เรียกว่าเราเกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิด ได้รับทุกข์ทรมานนั้นมากมาย

            แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสต่อไปว่า กระดูกที่เราเกิดขึ้นมา แล้วตาย ตายแล้วเกิด จนครบกัปหนึ่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสว่า เมื่อเราเกิดครบกัปหนึ่งแล้ว เอากระดูกของเรามารวมกัน เมื่อเอากระดูกของเรามารวมกัน กระดูกของเรานั้นสูงใหญ่เท่าภูเขา ชื่อว่า เวปุลละ ซึ่ง ปรากฏอยู่ในประเทศอินเดีย อยู่ในเมืองราชคฤห์เป็นภูเขาที่สูงมาก ต้องใช้เวลาเดินขึ้นภูเขาขึ้นไป ๑ วันกว่าจะถึงยอด คิดดูซิว่าต้องเป็นคนที่มีกำลังเดินขึ้นไปจึงจะถึง แล้วก็ใช้เวลาเดินทางกลับลงมานั้นต้องใช้เวลาอีก ๑ วัน จึงจะสามารถลงมาถึงพื้นดินคิดดูซิว่าภูเขาเวปุลละนั้นมันจะสูงมากน้อยขนาดไหน กระดูกของเราที่ตายแล้วเกิด เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิดกัปหนึ่งสูงเท่ากับภูเขาชื่อว่า เวปุลละ

            ท่านอุปมาอุปไมยว่า กัปป์หนึ่งนั้นนานมาก คล้ายๆ กับว่าเรานั้นขุดสระกว้าง ๑๖ โยชน์แล้วก็ยาว ๑๖ โยชน์ โยชน์หนึ่งเท่ากับ ๑๖ กิโล คิดดูซิว่ามันจะลึกขนาดไหน แล้วก็ ๑,๐๐๐ ปีทิพย์นั้นแหละ มีเทวดาเอาเมล็ดพันธุ์ผักกาดหยอดลงครั้งหนึ่ง จนเมล็ดพันธุ์ผักกาดนั้นแหละเต็มขอบสระเสมอกับพื้นดินจึงชื่อว่า กัปหนึ่ง คิดว่านานขนาดไหน หรือว่ามีภูเขาสูง ๑๖ โยชน์กว้าง ๑๖ โยชน์ แล้วก็ ๑,๐๐๐ ปี มีนางเทพธิดาเอาแผ่นสไบนั้นมาปัดยอดภูเขานั้นแหละ แพ้บหนึ่ง จนนางเทพธิดาเอาสไบปัดภูเขานั้นให้เรียบเสมอกับพื้นดินจึงชื่อว่า กัปหนึ่ง กัปหนึ่งนี้เราเกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิดนี้แหละ กระดูกของเรานั้นสูงเท่ากับภูเขาชื่อว่า เวปุลละ ต้องใช้เวลาเดินขึ้น ๑ วัน ใช้เวลาเดินลง ๑ วัน เพราะฉะนั้นการเกิดในวัฏฏสงสารนั้นมันเวียนว่ายตายเกิด ประมาณไม่ได้นับไม่ได้เพราะว่าการเกิดมันเป็นทุกข์ ถ้าเราเกิดบ่อยๆ มันก็ต้องเป็นทุกข์

            แล้วก็องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสว่า ขณะที่เราเกิดนี้แหละ บางครั้งขณะที่เราเกิดนี้เราทำกรรมดีบ้าง ทำกรรมชั่วบ้างอย่างที่กล่าวไว้ในเบื้องต้น บางครั้งก็ไปเกิดในภพภูมิที่ดี บางครั้งก็ไปเกิดในภพภูมิที่ไม่ดี ก็เหมือนกับบุคคลโยนไม้ขึ้นไปในอากาศ บางครั้งท่อนไม้มันก็เอาปลายลง บางครั้งมันก็เอาส่วนต้นลง บางครั้งมันก็เอาส่วนกลางลง บุคคลผู้ที่ถูกกรรมคือบาปคือบุญนี้โยนไปในวัฏฏสงสารก็เหมือนกัน บางครั้งก็ไปเกิดเป็นเปรตเสวยวิบากกรรม ต้องกินเลือดกินหนองต้องกินสิ่งของปฏิกูลโสโครก ได้รับความทุกข์ทรมาน อด หิวโหย ครวญครางอยู่ บางครั้งก็ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานได้รับทุกข์ทรมาน เกิดเป็นหมู คิดดูว่าจะลำบากขนาดไหน เกิดเป็นวัว เกิดเป็นควาย เวลาหนาวก็ไม่มีผ้าห่ม เวลายุงกัดก็ไม่รู้จักวิธีไล่ มีแต่หางมีแต่หูไม่รู้จักวิธีป้องกันตัวเอง เวลากินอาหารก็ใช้ปากแทะเล็มเป็นที่น่าปลงธรรมสังเวช

            เพราะว่าการเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานนั้นเป็นทุกข์ บางครั้งทำบาปทำกรรมไปก็ไปเกิดเป็นสัตว์นรกถูกเขาทรมานกันต่างๆ นาๆ บางครั้งก็ไปเกิดเป็นอสุรกาย ต้องหลบต้องซ่อน มีความหวาดกลัวอยู่ตลอดเวลาก็เพราะวิบากของบาปที่มันให้ผล เพราะฉะนั้นเราเกิดในวัฏฏสงสารนั้นก็เปรียบเสมือนกับการโยนไม้นั้นแหละ ไม่แน่นอนบางครั้งก็เกิดในที่ดี บางคนบางครั้งเกิดเป็นมนุษย์ เมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์ มีหูมีตา มีอวัยวะ ๓๒ สมบูรณ์แล้ว แต่บางคนเกิดเป็นคนปัญญาอ่อน ช่วยตนเองไม่ได้ บางคนเกิดขึ้นมาแล้วก็หลงเสพยาเสพติดกินเหล้าเมาสุรา บางคนก็ประพฤติชู้สู่สมกับภรรยาของบุคคลอื่นสามีของบุคคลอื่น เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เกิดความเดือดร้อนขึ้นมา เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้บาปกรรมนั้นมันส่งผลไปในทางที่ไม่ดี เรียกว่าเกิดมาขาดทั้งทุนสูญทั้งกำไร

            บางคนเกิดมาแล้วก็ติดโรคร้าย เป็นโรคเอดส์บ้าง โรคมะเร็งบ้าง โรคตับบ้าง นี้เพราะอะไร เพราะว่าขาดการบำเพ็ญบุญมาแต่ชาติปางก่อน ขาดการรักษาศีลมาแต่ชาติปางก่อน เกิดมาชาตินี้ก็มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนอายุก็สั้นพลันตาย อันนี้ล้วนแต่เป็นวิบากเป็นผลของบาปมันเกิดติดตามมา แต่ถ้าบุคคลใดทำบุญ เกิดขึ้นมาแล้วก็มีรูปร่างหน้าตาสดสวยงดงาม มีเสียงไพเราะ มีญาติสนิทมิตรสหายมากมาย มีคนนับหน้าถือตา เพราะอะไร เพราะว่าผลของบุญ พูดอะไรเขาก็ฟัง พูดอะไรเขาก็เชื่อ เรียนหนังสือก็เก่ง มีการมีงานทำ

            ในลักษณะอย่างนี้ เป็นลักษณะของคนมีบุญ โรคภัยไข้เจ็บไม่เบียดเบียน อันนี้ก็เป็นลักษณะของคนมีบุญ มีลูกที่ดี มีเมียที่ดี มีสามีที่ดี ไม่กินเหล้าเมาสุรา มีเมียก็ไม่เล่นไพ่กินเบียร์ มีลูกก็บอกง่ายไม่เล่นการพนัน ไม่เสพยาบ้า ไม่ดื่มสุราเมรัย เพราะอะไร ก็เพราะว่าเรามีบุญ

            เพราะฉะนั้นการท่องเที่ยวในวัฏฏสงสารนั้นจึงเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ต้องรู้จัก ตระเตรียมเสบียง ถ้าเราไม่รู้จักตระเตรียมเสบียงในการท่องเที่ยวไปในวัฏฏสงสาร ก็จะเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เรานั้นตั้งอยู่ในความประมาท อาจจะเกิดในภพภูมิที่ไม่ดี แต่ถ้าเราเป็นผู้ไม่ประมาทรู้จักตระเตรียมเสบียงในการเดินทาง คล้ายๆ ว่าเราจะเดินทางไกลถ้าเราไม่มีเสบียงเดินทาง เราก็ได้รับความทุกข์ทรมาน เราจะไปสู่อำนาจเจริญเราไม่มีเสบียงเดินทาง จะไปได้อย่างไรเราไม่มีปัจจัยไม่มีค่ารถ เราก็ต้องเดินไปกว่าที่จะถึงก็ใช้เวลานาน เราจะเดินทางมาสู่มนุษย์นั้นเราต้องมีปัจจัยมา คือ รักษาศีล ๕ กรรมบถ ๑๐ นั้นแหละเราจึงจะมาสู่มนุษย์ได้ เราจะไปสู่สวรรค์เราก็ต้องรู้จักการทำทานไหว้พระ ทำวัตร สวดมนต์ เจริญภาวนา จึงจะเป็นปัจจัยให้เรานั้นปีนบันไดไต่เต้าขึ้นไปสู่สวรรค์ เราอยากจะไปพรหมโลกเราก็ต้องมีปัจจัย มียานพาหนะคือ ฌานนั้น ถ้าเราไม่ได้ฌานเราก็ไม่สามารถที่จะไปเกิดบนพรหมโลกได้ แต่ถ้าเราได้ฌานก็จะเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เราไปเกิดในพรหมโลก อันนี้เป็นลักษณะของเหตุของปัจจัย

            เพราะฉะนั้นเมื่อเราเกิดขึ้นมาแล้วเราเป็นผู้ประมาท ก็เปรียบเสมือนกับบุคคลผู้ที่ตาย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสว่า บุคคลผู้ประมาทนั้นเป็นอยู่ก็เหมือนกับคนตาย ไม่มีประโยชน์อะไร เพียงแต่หายใจเข้าหายใจออกเฉยๆ ไม่มีประโยชน์อะไรจากการที่เขามีชีวิตอยู่ แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสว่า บุคคลผู้ที่ประมาทนั้น ถึงมีตาดี มีหูดี มีจมูกดี ก็เหมือนกับคนตาบอด ก็เหมือนกับคนหูหนวก ก็เหมือนกับคนเป็นใบ้ เพราะอะไร เพราะไม่รู้จักสร้างบุญให้เกิดทางตา ไม่รู้จักสร้างบุญให้เกิดทางหู ไม่รู้จักสร้างบุญให้เกิดทางปาก ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย  ทางใจ มีตา มีหู มีจมูก มีลิ้น มีกาย มีใจ แล้วก็เอาไปแต่ทำบาปทำกรรม ไปสร้างแต่ทรัพย์ภายนอก ไม่สร้างทรัพย์ภายใน สร้างแต่บาป สร้างแต่กรรม ก็เหมือนกับว่ามีตาแล้วก็ตาบอด มองไม่เห็น ถึงจะได้เห็นพระสงฆ์องค์เณรมาประพฤติวัตรปฏิบัติธรรมก็ไม่เกิดศรัทธา มีตาดีนี้แหละ เดินไม่เหยียบหนาม เดินไม่ชนต้นไม้ มีตามองเห็นพระ เห็นเณร เห็นปะขาวแม่ชีก็ไม่เกิดศรัทธา ก็เปรียบเสมือนกับคนตาบอดคือ มีตาแล้วไม่เกิดกุศล ไม่เกิดบุญ มีหูดีได้ฟังเขาว่า เขาจัดประพฤติปฏิบัติธรรมกรรมฐานก็ไม่เกิดศรัทธาคล้ายๆ กับว่า หูกระทะ ตาไม้ไผ่ ไม่เกิดประโยชน์อะไร

            เพราะอะไร ก็เพราะว่ามีหูดีก็เปรียบเสมือนกับมีหูหนวก มีจมูก มีลิ้น มีกาย มีใจก็เหมือนกัน ถ้าเราไม่ประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้อง ให้เกิดบุญเกิดกุศลแล้ว มีก็สักแต่ว่ามี เพราะฉะนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสว่า ถ้าคนประมาท มีตาดีก็เหมือนกับตาบอดนั้น เปรียบเสมือนกับนกไม่เห็นฟ้า ปลาไม่เห็นน้ำ ไส้เดือนไม่เห็นดิน หนอนไม่เห็นคูต

            นกไม่เห็นฟ้าหมายความว่า นกมันอยู่บนฟ้าตามันอยู่ใกล้กับฟ้าเกินไป มันจึงไม่รู้ว่าฟ้านั้นมันเป็นอย่างไร ท้องฟ้าเป็นอย่างไรมันไม่รู้ ปลาไม่เห็นน้ำก็เหมือนกัน ปลามันอยู่ใกล้น้ำเกินไป มันอยู่ในน้ำ ตามันติดอยู่กับน้ำมันจึงไม่สามารถที่จะมองเห็นน้ำไม่รู้ว่าน้ำมันมีสภาพอย่างไร เพราะว่ามันอยู่กับน้ำ ไส้เดือนมันไม่เห็นดิน ทำไมไส้เดือนมันไม่เห็นดิน หมายความว่า ไส้เดือนมันเกิดขึ้นมาแล้วมันก็กินดินๆๆ มัวแต่ประมาท เหมือนกับคนเกิดขึ้นมาแล้วสะสมแต่อารมณ์ที่ชอบใจ เดี๋ยวก็ไปดูสิ่งโน้น เดี๋ยวก็ไปฟังสิ่งนี้ เดี๋ยวก็หาแต่สิ่งโน้นมากิน เดี๋ยวก็หาแต่สิ่งนี้มาใช้ หาแต่เครื่องบำรุงบำเรอ มาบำรุงบำเรอ แต่ตาแต่หูแต่จมูกแต่ลิ้นแต่กายแต่ใจ

            ก็เหมือนกับไส้เดือนที่มันเกิดขึ้นมาแล้วมีแต่กินดินๆๆ ไม่คิดเสียว่าชีวิตของเรานั้นยาวไกลขนาดไหน ไม่คิดเสียว่าฤดูกาลมันเปลี่ยนแปลง ดินมันแห้งเรานั้นก็จะต้องตายไปมันไม่รู้จักคิด ก็เปรียบเสมือนกับคนที่เกิดขึ้นมานั้นแหละ มัวแต่หากินทางตา หากินทางหู หากินทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ หาสิ่งที่มาบำรุงบำเรอตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็ไม่รู้ว่าชีวิตของเรานั้นจะยาวไกลขนาดไหนไม่รู้ เมื่อไม่รู้ก็เปรียบเสมือนกับไส้เดือนนั้นแหละไม่นานฤดูกาลเปลี่ยนไป ไส้เดือนมันก็ต้องตายไปเพราะดินแห้ง ชีวิตของเราก็เหมือนกัน เมื่อร่างกายของเราแก่ เฒ่า ชราลงไป ชีวิตของเรามันก็ต้องเสื่อมไป สิ้นไป ในที่สุดมันก็ต้องดับไปไม่มีประโยชน์อะไรเลย

            เปรียบเสมือนกับหนอนไม่เห็นคูต หนอนนั้นมันไม่รู้จักคูตว่าเป็นของปฏิกูล เหมือนกับหนอนในโถส้วม หนอนในโถส้วมนั้นมันไม่รู้ว่าสิ่งที่อยู่ในโถส้วมนั้นมันปฏิกูลมากน้อยขนาดไหนมันไม่รู้ มันเกิดขึ้นมาแล้วมีแต่กินมูตกินคูต สนุกสนานอยู่ในมูตคูตองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก็ทรงตรัส บุคคลผู้หลงใหลอยู่ในรูปก็ดี อยู่ในเสียง ในกลิ่น ในรสก็ดี เปรียบเสมือนกับบุคคลผู้หลงของปฏิกูลโสโครก เพราะว่าร่างกายของเรานั้นเป็นของปฏิกูลโสโครก มีตาก็มีขี้ตา มีหูก็มีขี้หู มีจมูกก็มีขี้มูก มีปากก็มีขี้ฟัน มีลิ้นก็มีขี้ลิ้น มีร่างกายมีหนังก็มีขี้ไคล มีอะไรก็มีขี้ทั้งนั้น มีหัวก็มีขี้หัว เรียกว่ามีขี้ทั้งนั้น ร่างกายของเรานั้นเต็มไปด้วยขี้ เต็มไปด้วยของปฏิกูลโสโครก

            เพราะฉะนั้นบุคคลใดที่หลงในรูป หลงในเสียง หลงในกลิ่น หลงในรส หลงในรูปนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสว่า หลงเหมือนกับหนอนนั้นมันหลงในของปฏิกูลโสโครก เพราะฉะนั้นเมื่อเรารู้ว่า เรามีตาดีก็เหมือนกับตาบอดคือ เปรียบเสมือนกับนกไม่เห็นฟ้า ปลาไม่เห็นน้ำ ไส้เดือนไม่เห็นดิน หนอนไม่เห็นคูตนั้นแหละ เพราะฉะนั้นเมื่อเรามีตาแล้วเราก็ควรที่จะทำให้มีประโยชน์

            บุคคลผู้ที่ประมาทนั้นเมื่อมีทรัพย์มากก็เหมือนกับคนจน ทำไมจึงเปรียบเสมือนกับคนจน เพราะว่ามีทรัพย์แล้วก็เอาไปใช้จ่ายบำรุงบำเรอ กินเหล้า เมาสุรา เที่ยวเตร่เฮฮา ซื้อรถ ซื้อบ้าน ซื้อที่ดิน ซึ่งเป็นทรัพย์ภายนอก ทรัพย์ภายนอกนี้ไม่สามารถที่จะติดตามเราไปในภพน้อยภพใหญ่ได้ เราตายไปแล้วเราเอาบ้านไปก็ไม่ได้ เอารถไปก็ไม่ได้ ตายแล้วมันก็สูญไปเป็นสมบัติกลางของโลก ไม่มีใครเอาไปได้

            เพราะฉะนั้นมีทรัพย์นั้นจึงเหมือนกับคนจน แต่ถ้าบุคคลใดมีทรัพย์แล้วเอาทรัพย์นั้นมาทำบุญทำทาน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อพ่อ ต่อแม่ ต่อญาติพี่น้อง ก็จะเป็นบุญเป็นกุศลเป็นทรัพย์ติดตามเราไปในภพน้อยภพใหญ่เหมือนเงาติดตามตัวเราจะไปไหนเงามันก็ติดตามไป บุญกุศลมันก็ติดตามเราไปเหมือนกัน เพราะฉะนั้นการที่เรามีทรัพย์แต่เราไม่รู้จักการใช้จ่ายทรัพย์ก็เหมือนกับคนจนในพุทธศาสนา ไม่รู้จักทำทรัพย์ภายนอก ให้เป็นทรัพย์ภายใน ไม่รู้จักทำทรัพย์ที่ไม่สามารถติดตามไปในภพน้อยภพใหญ่นั้นให้เป็นทรัพย์ที่ติดตามไปในภพน้อยภพใหญ่ เพราะฉะนั้นทรัพย์สมบัตินั้นถ้าเรามีแล้ว เรารู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์ ทรัพย์ภายนอกให้เป็นทรัพย์ภายในได้ ทรัพย์นั้นก็จะติดตามเราไปในภพน้อยภพใหญ่ เพราะฉะนั้นเรามีทรัพย์ภายนอกแล้ว เราต้องรู้จักทำทรัพย์ภายในบ้าง

            ทรัพย์ภายในคืออะไร ทรัพย์ภายในก็คืออริยทรัพย์ ๗ ประการ ทรัพย์คือ ศรัทธา ทรัพย์คือ ศีล ทรัพย์คือหิริความละอาย ทรัพย์คือโอตตัปปะความเกรงกลัว ทรัพย์คือสุตตะ คือการรับฟังพระธรรมเทศนา ทรัพย์คือจาคะ คือการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ การทำบุญทำทาน ทรัพย์คือปัญญา เกิดจากการเจริญสมถะบ้าง เกิดจากการรับฟังบ้าง เกิดจากการเจริญภาวนาบ้าง สิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นทรัพย์ภายใน แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสว่า บุคคลผู้ที่ประมาทนั้น ถึงจะอยู่ในพุทธศาสนา ถึงจะเกิดในพุทธศาสนา ได้ทันศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่สามารถที่จะปฏิบัติตามพุทธศาสนาได้ เรียกว่าทางเตียนๆ ทางโล่งๆ ที่จะเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เรานั้นเดินไปสู่มนุษย์ เดินไปสู่สวรรค์ เดินไปสู่พรหมโลก เดินไปสู่พระนิพพาน ตามคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีอยู่ แต่เราก็เดินไปยังไม่ได้

            เพราะอะไร เพราะว่าเราเดินผิดทางเพราะว่าไม่ได้มาสดับรับฟังพระสัทธรรมเทศนา ไม่ได้มาอบรมวิปัสสนากรรมฐานก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เรานั้นเดินหลงทาง คล้ายๆ กับว่าเราหนีจระเข้ แต่เรานั้นวิ่งลงน้ำ จระเข้คืออะไร จระเข้นั้นคือความทุกข์นี้แหละ เราอยากจะหนีความทุกข์แต่เราไม่รู้จักวิธีหนีความทุกข์

            เหมือนกับบุคคลผู้ที่ต้องการที่จะหนีจากจระเข้แต่ดันวิ่งลงไปในน้ำ เหมือนกับคนอยากหนีจากความทุกข์แต่วิ่งไปหากามคุณ ๕ วิ่งไปหามีลูกมีเมีย วิ่งไปหาสร้างครอบสร้างครัว แต่ต้องการที่จะพบกับความสุขพ้นไปจากความทุกข์ มันจะพ้นจากความทุกข์ได้อย่างไร เพราะวิ่งลงไปในน้ำ น้ำนั้นเป็นที่อยู่ของจระเข้ เป็นวังของจระเข้ เป็นที่จระเข้อยู่อาศัย ก็เปรียบเสมือนกับกามคุณ ๕ นั้นเป็นที่อยู่ของทุกข์ เป็นต้นเหตุให้เกิดทุกข์ เมื่อเราอยากจะพ้นไปจากความทุกข์แล้วเรายังวิ่งไปสร้างครอบสร้างครัว วิ่งไปสร้างหลักสร้างฐาน ไม่รู้จักผ่อนทางโน้นมาเจริญภาวนา ก็เหมือนกับเราวิ่งเข้าสู่กองทุกข์ แล้วเราจะพ้นจากทุกข์ได้อย่างไร

            เพราะฉะนั้นเราต้องการที่จะหนีจระเข้ เราอย่าไปลงน้ำ เราต้องการที่จะพ้นไปจากความทุกข์ เราอย่าวิ่งไปหากามคุณอันเป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์ อันเป็นวังวนที่ดูดสรรพสัตว์ทั้งหลายนั้นให้จมลงไปสู่ก้นแห่งความทุกข์

            เพราะฉะนั้นการที่เราได้มาฟังธรรม ได้มาประพฤติปฏิบัติธรรม ก็ถือว่าเป็นเครื่องเตือนจิตสะกิดใจเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เรานั้นได้รั้งจิตของเราไว้ เรียกว่าเรารู้ทันจิตของเรา แต่ถ้าเราไม่เคยมาประพฤติปฏิบัติธรรมเลย เราไม่สามารถที่จะบอกตนได้ใช้ตนฟังรั้งตนเองอยู่ รู้ทันขบวนการของจิตของเราได้ เราก็ไม่สามารถที่จะยกตนของตนนั้นขึ้นสู่การให้ทาน มาทำบุญทำทานได้ เราก็ไม่สามารถที่จะยกตนของตนนั้นมารักษาศีลได้ ก็ไม่สามารถที่จะนำตนของตนนั้นมาเจริญภาวนาได้ เพราะอะไร เพราะเรานั้นไม่เกิดศรัทธา เพราะว่าเราไม่เคยฟัง

            เพราะฉะนั้นการที่ญาติโยมทั้งหลายเสียสละเวลาอันมีค่า ได้มาฟังเทศน์ฟังธรรม แล้วก็ได้มาร่วมกันประพฤติปฏิบัติธรรมในวันนี้ก็ถือว่า เป็นโอกาสอันดีที่เราจะต้องตักตวงเอาคุณงามความดี จะได้ไม่เป็นผู้ที่เสียชาติเกิดเมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์พบพุทธศาสนาแล้วก็จะไม่ไร้ค่า ก็จะไม่เป็นคนที่ขาดทั้งทุน สูญทั้งกำไร เกิดมาแล้วก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ได้บุญได้กุศล ได้กำไรในการเกิดมา

            เท่าที่อาตมภาพได้กล่าวธรรมะโดยย่อมา ก็เห็นว่าพอสมควรแก่เวลา ในท้ายที่สุดนี้ก็ขอให้คุณของพระรัตนตรัย คือคุณของพระพุทธ คุณของพระธรรม คุณของพระสงฆ์ เดชบารมีของคุณครูบาอาจารย์ทั้งหลายทั้งปวง เดชบารมีของทวยเทพทวยนิกรเจ้าทั้งหลาย ที่เป็นภุมมเทวดาก็ดี อากาสัฏฐเทวดาก็ดี รุกขเทวดาก็ดี หรือว่าพระภูมิเจ้าที่ พระนางธรณี พระเพลิง พระพรายทั้งหลายก็ดี หรือว่าเดชบารมีของญาติของโยมที่ได้สั่งสมอบรมมาแล้วตั้งแต่ปุเรกชาติก็ดี หรือว่าเดชบารมีของคณะอาจารย์กรรม ของลูกกรรมที่ได้สั่งสมอบรมมาตั้งแต่ปุเรกชาติก็ดีมีการให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนาเป็นต้น บารมีทั้งหลายทั้งปวงที่เอ่ยนามมาแล้วนั้นขอจงได้มารวมกันเป็นตบะ เป็นเดชะ เป็นพลวะปัจจัย ให้คณะครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ตลอดถึงญาติโยมทั้งหลายที่ได้มาร่วมประพฤติปฏิบัติธรรมนี้จงเป็นผู้มีความสุขทุกทิวาราตรีกาลจงทุกท่านทุกคนเทอญ.