ทรัพย์ ๒ ประการ
(อริยทรัพย์ ๗)
โดย พระราชปริยัตยากร (บุญเรือง สารโท)
———————
ท่านนักปฏิบัติธรรมทั้งหลาย
การที่เราทั้งหลายมีความอุตสาหะพยายาม อดทนกัดฟันต่อสู้ประพฤติปฏิบัติธรรมอยู่ทุกวันนี้ ก็เพื่อว่าต้องการที่จะสร้างสมอบรมคุณงามความดีไว้ ทำของโลกีย์ให้เป็นโลกุตระ ทำทรัพย์สมบัติภายนอกให้เป็นทรัพย์สมบัติภายใน
ดังนั้น วันนี้จึงได้นำเรื่อง ทรัพย์ ๒ ประการ มาบรรยาย คือ สามัญทรัพย์ ๑ อริยทรัพย์ ๑
๑. สามัญทรัพย์ คือทรัพย์สามัญทั่วไป แบ่งเป็น ๒ คือ
๑) ทรัพย์ ได้แก่ วัตถุเครื่องปลื้มใจ
๒) สมบัติ ได้แก่ วัตถุอันถึงพร้อม
ทรัพย์สมบัตินี้มีอยู่ในบุคคลผู้ใด ก็ย่อมทำให้บุคคลผู้นั้นมีความปีติ เอิบอิ่ม ยินดี ปลื้มใจ ดีใจว่า ทรัพย์สมบัติของเรามีอยู่
สามัญทรัพย์นี้ เมื่อแยกออกแล้วมีอยู่ ๒ ประการ
๑) สวิญญาณกทรัพย์ ได้แก่ ทรัพย์ที่มีวิญญาณครอง เช่น สามี ภรรยา ลูกๆ หลานๆ ตลอดถึงช้าง ม้า โค กระบือ แพะ แกะ เป็ด ไก่ สุกร เป็นต้น
๒) อวิญญาณกทรัพย์ ได้แก่ ทรัพย์ที่ไม่มีวิญญาณครอง มีผ้าผ่อนแพรพรรณ แก้วแหวนเงินทอง รัตนะ ๗ ประการเป็นต้น
ทรัพย์ทั้ง ๒ ประการนี้ แบ่งออกเป็น ๒ ประเภทคือ
๑) สังหาริมทรัพย์ ทรัพย์ที่เคลื่อนที่ได้ ได้แก่ ทรัพย์สมบัติทั้งหลายทั้งปวง ที่เราสามารถนำเคลื่อนที่ไปได้
๒) อสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ ทรัพย์ที่เคลื่อนที่ไปไม่ได้ มีที่นา ที่สวน เป็นต้น
ทรัพย์ดังกล่าวมาแล้วนี้ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งเป็นสมเด็จพ่อของพวกเราทั้งหลาย ได้ตรัสว่าเป็นของที่ไม่เป็นแก่นสาร เพราะเหตุว่าจะต้องอันตรธานไปด้วยภัยทั้ง ๔คือ
– ราชภัย ถูกพระราชาหรือรัฐบาลยึดเอาไปบ้าง
– โจรภัย ถูกโจรฉกชิงวิ่งราวปล้นสะดมเอาไปบ้าง
– อัคคีภัย ถูกไฟไหม้บ้าง
– อุทกภัย ถูกน้ำท่วมให้ฉิบหายย่อยยับไปบ้าง
หากว่าเราจะเอาทรัพย์สมบัติทั้งหลายเหล่านี้ ไปฝังไว้ในดินหรือจมไว้ในน้ำ คิดว่าจะไม่ให้อันตรธาน ก็ไม่พ้น ถ้าเราเอาไปฝังลึกนัก อมนุษย์อาจทำให้เคลื่อนที่ได้ ถ้าเราฝังตื้นเกินไป โจรผู้ร้ายอาจจะขโมยไปก็ได้ ถ้าเราจะเอาทรัพย์เหล่านี้ไปจมไว้ในน้ำ อาจจะมีพรานข่ายพรานแหเอาไป หากว่าเราคิดจะเอาทรัพย์เหล่านี้ไปฝากไว้ในคลังหรือธนาคาร ปรารถนาจะไม่ให้อันตรธาน ก็ย่อมไม่เป็นอันฝัง ย่อมผุพังไปเป็นธรรมดา
เหตุนั้น องค์สมเด็จพระบรมศาสดาจึงตรัสว่า ทรัพย์นี้ไม่เป็นแก่นสาร พระองค์ตรัสให้พวกเราทั้งหลาย ทำทรัพย์สมบัติทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ให้เป็นแก่นสาร คือให้รู้จักใช้ทรัพย์สมบัติทั้งหลายทั้งปวงที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์ พระพุทธองค์ทรงได้ตรัสหลักการใช้ทรัพย์ คือเมื่อเราทั้งหลายแสวงหาทรัพย์สมบัติมาได้โดยชอบธรรมแล้ว ท่านได้แยกหลักการใช้โภคทรัพย์ไว้ ๕ ประการ คือ
๑. เลี้ยงตัวของตัวเอง ตลอดถึงบิดามารดา บุตร ภริยา บ่าวไพร่ ให้เป็นสุข
๒. เลี้ยงเพื่อนฝูงให้เป็นสุข
๓. บำบัดอันตรายที่เกิดแต่เหตุต่างๆ เช่น การเจ็บไข้ได้ป่วย เป็นต้น
๔. ทำพลี ๕ อย่าง ได้แก่
ก. ญาติพลีสงเคราะห์ญาติ
ข. อติถิพลี ต้อนรับแขก
ค. ปุพพเปตพลี ทำบุญอุทิศให้ผู้ตาย
ง. ราชพลี ถวายเป็นของหลวง เสียภาษีอากร
จ. เทวตาพลี ทำบุญอุทิศให้เทวดา
๕. บริจาคให้สมณพราหมณ์ผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบ
นอกจากนี้ เราควรใช้ทรัพย์ให้เป็นประโยชน์แก่สังคม เป็นต้นว่าสร้างกุฏิ วิหาร โบสถ์ ศาลาการเปรียญ สร้างถนน สร้างบ่อน้ำ สร้างโรงเรียน สร้างสถานพยาบาลเหล่านี้เป็นต้น ก็ชื่อว่าเราใช้ทรัพย์สมบัติทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ให้เป็นประโยชน์ เมื่อเราใช้ให้เป็นก็เป็นประโยชน์แก่เราและสังคมทั้งในปัจจุบันและอนาคต ถ้าหากว่าเราใช้ไม่เป็น ในปัจจุบันก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรจากการมีทรัพย์ อนาคตก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรจากการมีทรัพย์
เพราะทรัพย์สมบัติทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้เป็นของส่วนกลางสำหรับโลก เมื่อเรายังไม่เกิดมา ทรัพย์สมบัติทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ก็มีอยู่ เมื่อเราเกิดมา เราก็ใช้ทรัพย์สมบัติทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้เท่าที่เราสามารถแสวงหามาได้ เมื่อเราตายไป ทรัพย์สมบัติทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ เราก็ทิ้งไว้ในโลกนี้ ให้เป็นสมบัติของผู้อื่นต่อไป เราจะมาหวงห้ามว่า ไม่ให้ผู้นั้นใช้ ไม่ให้ผู้นี้ใช้ ย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะเป็นไปตามกฎธรรมชาติ ตกไปตามกฎของธรรมชาติ
เหตุนั้น ผู้มีปัญญาฉลาดรอบคอบเท่านั้น จึงสามารถที่จะใช้ทรัพย์เหล่านี้ให้เป็นประโยชน์แก่ตนและสังคมได้ โดยไม่ยึดมั่นถือมั่นในอุปาทานว่า เราจะรักษาทรัพย์สมบัติอยู่ตลอดไป
เราทั้งหลายลองนึกดูซิว่า เมื่อเราเกิดมานั้นก็มีแต่ตัวล่อนจ้อน ทรัพย์สมบัติชิ้นหนึ่ง ก็หาติดตัวเรามาไม่ เราอาศัยบุญกรรมที่เราสร้างสมอบรมไว้พามาเกิด เมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว เราจะแสวงหาทรัพย์ได้มากได้น้อย ก็อาศัยบุญกรรมที่เราสั่งสมอบรมไว้ ถ้าชาติก่อนเราได้สั่งสมอบรมทานบารมีถวายทานไว้มาก เกิดขึ้นมาแล้ว เราก็จะเป็นผู้ที่มั่งคั่งสมบูรณ์เพียบพูนไปด้วยทรัพย์สมบัติศฤงคารบริวาร ไม่อดไม่อยาก หากว่าเราเป็นคนตระหนี่ เกิดมาแล้วย่อมเป็นคนยากจนข้นแค้นอนาถา ถือกระเบื้องขอทานถือกะลาขอข้าว หากินฝืดเคือง
เหตุนั้น การที่เราทั้งหลายมาประพฤติปฏิบัติธรรมอยู่ทุกวันนี้ ก็คือมาทำทรัพย์สมบัติภายนอกให้เป็นทรัพย์ภายใน ทำทรัพย์ที่เป็นโลกีย์ให้เป็นโลกุตระ ฝากฝังไว้ในพระพุทธศาสนา เพื่อให้เป็นอนุคามินีทรัพย์ติดตามเราไปสู่สัมปรายิกภพภายภาคหน้า ดังที่กล่าวมานี้เป็นสามัญทรัพย์โดยย่อ
๒. อริยทรัพย์ แปลว่า ทรัพย์อันประเสริฐ หรือทรัพย์ของท่านผู้ประเสริฐ หรือทรัพย์ที่ไกลจากข้าศึกคือกิเลส
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงส่งเสริมการแสวงหาทรัพย์ทั้งทางโลกและทางธรรม ทางโลกเราจะเห็นได้ในหลัก ทิฏฐธัมมิกัตถธรรม ที่พระองค์ตรัสไว้ คือผู้ที่จะตั้งตนได้ในปัจจุบัน จะต้องประกอบไปด้วยธรรม ๔ ประการ คือ
๑) อุฏฐานสัมปทา ถึงพร้อมด้วยความขยันความหมั่นเพียรในการงานอันเป็นหน้าที่ของตน
๒) อารักขสัมปทา พยายามรักษาการงานที่ตนประกอบนั้นไว้ให้ดี ตลอดถึงพยายามรักษาทรัพย์สมบัติที่เป็นผลซึ่งเกิดขึ้นจากการทำงานของเราไว้ให้ดี
๓) สมชีวิตา เลี้ยงชีวิตตามสมควรแก่กำลังทรัพย์ที่ตนหามาได้
๔) กัลยาณมิตตตา คบเพื่อนที่ดี ไม่คบคนชั่ว
ธรรมทั้ง ๔ ประการนี้ เป็นเครื่องยืนยันว่า พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงส่งเสริมการแสวงหาทรัพย์ ไม่ใช่ว่าการแสวงหาทรัพย์นั้นจะเป็นกิเลสตัณหาดังคนทั้งหลายเข้าใจกัน
การที่จะจัด(ว่าการแสวงหาทรัยพ์)เป็นกิเลสตัณหาได้นั้น ก็หมายความว่า การที่อยากได้ทรัพย์สมบัติในทางทุจริตแล้วก็แสวงหาเอาในทางที่ทุจริต จึงจะเป็นโลภะเป็นตัณหา แต่นี่เราอยากได้แล้วก็แสวงหาเอาในทางที่สุจริต ไม่จัดเป็นโลภะ
นอกจากนี้ พระองค์ยังส่งเสริมการแสวงหาทรัพย์ที่เราจะนำไปใช้ในวันข้างหน้า ภพหน้า ชาติหน้าต่อไป ดังหลักธรรมที่พระองค์ได้ตรัสไว้ คือ สัมปรายิกัตถธรรม ธรรมอันเป็นเหตุให้สมหวัง หรือเป็นเหตุให้สำเร็จสิ่งที่ประสงค์ในภพหน้าชาติหน้า ๔ ประการ คือ
๑) สัทธาสัมปทา ถึงพร้อมด้วยศรัทธา
๒) สีลสัมปทา ถึงพร้อมด้วยศีล
๓) จาคสัมปทา ถึงพร้อมด้วยการบริจาคทาน
๔) ปัญญาสัมปทา ถึงพร้อมด้วยปัญญา
นอกจากนี้ พระองค์ยังตรัสให้แสวงหาทรัพย์อันประเสริฐ อันจะเป็นบ่อเกิดซึ่งอริยมรรคอริยผล คือพระองค์ทรงสอนให้สรรพสัตว์ทั้งหลายประกอบไปด้วยอริยมรรคมีองค์ ๘ ประการ เพราะว่าอริยมรรคทั้ง ๘ ประการนี้ เป็นธรรมะที่จะให้สำเร็จซึ่งโลกุตตระสมบัติ
เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้เราก็รู้ได้ทันทีว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นสมเด็จพ่อของพวกเราทั้งหลายนั้น พระองค์ไม่ทรงส่งเสริมคนเกียจคร้าน แต่ทรงส่งเสริมคนขยันหมั่นเพียรหาทรัพย์ทั้งทางโลกและทางธรรม หาทรัพย์ทั้งที่เป็นประโยชน์โลกนี้ประโยชน์โลกหน้า และประโยชน์อย่างยิ่งคือพระนิพพาน
เพราะเหตุไรธรรมะจึงจัดเป็นทรัพย์ เมื่อมีปัญหาอย่างนี้ เราควรหาเอาทรัพย์ที่เป็นวัตถุมาเป็นตัวตั้ง เช่น ธนบัตรใบละ ๑๐ บาท ๒๐ บาทบ้าง ใบละ ๑๐๐ บาท ๕๐๐ บาทบ้าง แผ่นกระดาษแท้ๆ ทำไมจึงเรียกว่า ทรัพย์ ก็เพราะว่าเป็นของที่แลกเปลี่ยนได้สมประสงค์ เป็นของที่ใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย ข้อนี้ฉันใด ธรรม ๗ ประการ มีศรัทธาเป็นต้น ก็เป็นของที่ให้สำเร็จสมประสงค์ได้เหมือนกัน เหตุนั้นท่านจึงเรียกว่า อริยทรัพย์
ปัญหาเศรษฐศาสตร์ทางโลก เขาตีราคาค่าของต่างๆ เป็นมูลค่าบ้าง คุณค่าบ้าง เมื่อแยกประเภทออกไปแล้วมีอยู่ ๒ ประการ
๑) อัคฆะ คือ สิ่งที่ตีราคาได้ เช่น สมุด กระดาษ ดินสอ ปากกา นาฬิกา แว่นตา เครื่องขยายเสียง ไมโครโฟน เหล่านี้เป็นต้น เขาตีราคาได้ว่า มีราคาเท่านั้นบาท เท่านั้นร้อย เท่านั้นพัน เท่านั้นหมื่น เท่านั้นแสน แม้แต่ค่าแรงงานเขาก็ตีเป็นราคาได้ สมมติว่า คนนี้มีความสามารถขนาดนี้ ควรจะได้วันหนึ่ง ๔๕ บาท ๕๐ บาท หรือ ๑๐๐ บาท ๕๐๐ บาท ๑,๐๐๐ บาท เขาตีราคาได้ ทรัพย์ประเภทนี้ เรียกว่า อัคฆะ ตีราคาได้
๒) อนัคฆะ คือ สิ่งที่ตีราคาไม่ได้ ประเมินราคาไม่ได้ว่ามีราคาเท่าไร สิ่งที่ไม่สามารถที่จะกำหนดราคาหรือตีค่าตีราคาขึ้นได้ เช่น ความซื่อสัตย์สุจริต ความสุภาพเรียบร้อย ความฉลาด ศีล สมาธิ ปัญญา มรรค ผล นิพพานเป็นต้น
เราไม่สามารถที่จะตีราคาขึ้นมาได้ว่า ความสัตย์นี้จะตีราคาเท่าไร ความฉลาด ความสุภาพเรียบร้อยนี้จะตีราคาเท่าไร เราตีราคาไม่ได้ ศีล สมาธิ ปัญญา หรือมรรค ผล นิพพานนี้ มีราคาเท่าไร เราตีราคาไม่ได้ ประเมินราคาไม่ได้ เหตุนั้น ทรัพย์ประเภทนี้จึงเรียกว่า อนัคฆะ หาค่าไม่ได้
เพราะเหตุไร ธรรมะ ท่านจึงเรียกว่า เป็นทรัพย์ ก็เพราะว่า เป็นทรัพย์ประเภท อนัคฆะ คือตีราคาไม่ถูก เป็นธรรมที่พระอริยเจ้าแสดงไว้
ทรัพย์ทั้ง ๒ ประเภท คือสามัญทรัพย์ และ อริยทรัพย์นี้ มีคุณลักษณะต่างกัน คือ
สามัญทรัพย์นั้น สามารถที่จะใช้ให้หมดไป สมมติว่า เรามีเงินเป็นร้อยๆ ล้าน ก็สามารถที่จะใช้ให้หมดไป ดังที่เราได้ทราบข่าวทางหน้าหนังสือพิมพ์ ข่าวในวิทยุเป็นต้น ธนาคารที่มีเงินเป็นหลายๆ ร้อยล้านก็ยังล้มละลายได้ หรือเศรษฐีมีเงินเป็นสิบๆ ล้าน ก็ยังล้มละลาย เป็นอันว่าสามัญทรัพย์นั้น เป็นทรัพย์ที่สามารถจะใช้ให้หมดไปได้
ส่วนอริยทรัพย์นั้น ใช้ไม่หมด ยิ่งใช้เท่าไรก็ยิ่งมาก ยิ่งได้กำไรมากไปตามลำดับๆ เหมือนกันกับท่านทั้งหลายที่พากันมาสู่สำนัก มาประพฤติปฏิบัติพระกัมมัฏฐาน หลวงพ่อก็ให้อริยทรัพย์แก่ทุก ๆ ท่านไป ยิ่งให้ไปมากเท่าไรก็ยิ่งมีมาก ได้กำไรมากขึ้นเท่านั้น เหตุนั้น อริยทรัพย์จึงเป็นของใช้ไม่หมด
อีกอย่างหนึ่ง สามัญทรัพย์ นั้น เป็นสาธารณะทั่วไปแก่คนทั้งหลายทั้งปวง คือหมายความว่า สามัญทรัพย์นั้น เมื่อเรายังไม่เกิดมาก็มีอยู่อย่างนี้ เมื่อเราใช้สอยทรัพย์สมบัติเหล่านี้ที่เราได้มา เราจะถือเป็นกรรมสิทธิ์ตลอดไปก็ไม่ได้ อาจมีคนอื่นมาแย่งเอาไปบ้าง มาโกหกหลอกลวงต้มตุ๋นเอาไปบ้าง หรือเราตายไปแล้วทรัพย์สมบัติเหล่านี้ก็ตกเป็นของคนอื่นไป เราจะหอบหิ้วหาบหามไปฝากเทวดาหรือฝากพระอินทร์พระพรหมในเทวโลกในพรหมโลกไม่ได้ เราอาศัยแต่บุญกรรมที่สั่งสมอบรมมาเท่านั้นพาไป
ส่วนอริยทรัพย์นั้น เป็นของตนแท้ๆ สามารถติดตามตนไปทุกฝีก้าว ฉายา อิว ดุจเงาติดตามตัว ตายแล้วเกิดชาติใหม่ ยังสามารถนำไปใช้ในภพที่ตนเกิดอีกต่อไป
สามัญทรัพย์นั้น ใช้ในวงจำกัด เช่นว่า ธนบัตรใบละ ๑๐ บาท ๒๐ บาท ๕๐ บาท ๑๐๐ บาท ๕๐๐ บาท ก็ใช้ได้ภายในประเทศไทยของเราเท่านั้น จะเอาไปใช้ในประเทศอื่น ก็ต้องเอาไปแลกไปเปลี่ยนเสียก่อน จึงจะใช้ได้
แต่สำหรับอริยทรัพย์นี้สามารถใช้ได้ทั่วโลก ไม่ต้องแลกไม่ต้องเปลี่ยน ใช้ในประเทศไหนได้ทั้งนั้น
อีกอย่างหนึ่ง สามัญทรัพย์ นั้น เป็นของที่ไม่แน่ว่าจะนำไปสู่สุคติโลกมนุษย์สวรรค์
หรือให้สำเร็จพระนิพพาน ตัวอย่าง คนมีเงินมีทองแล้วอาจใช้เงินทองนั้นทำบาป
ก็ได้ เช่น เอาเงินไปซื้อวัวมาฆ่าบ้าง ซื้อควายมาฆ่าบ้าง ซื้อเป็ดซื้อไก่มาฆ่าบ้าง
หรือเอาเงินไปจ้างให้เขาฆ่ากันบ้าง เหล่านี้เป็นต้น ถ้าเราทำอย่างนี้ ผลที่เกิดขึ้นจากการมีทรัพย์นั้น
เราจุติจากชาตินี้แล้วก็ไปสู่อบายภูมิ คือนรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน สามัญทรัพย์นั้นจึงเป็นของที่ไม่แน่นอนว่าจะพาผู้เป็นเจ้าของไปสู่สุคติโลกมนุษย์สวรรค์ได้
อาจจะพาไปสู่อบายภูมิก็ได้
แต่ อริยทรัพย์ นี้ เป็นของแน่นอนที่สุด ที่จะนำเจ้าของให้ตรงไปสู่มนุษย์ สวรรค์ และพระนิพพาน คืออริยทรัพย์นี้ ถ้าผู้ใดสั่งสมให้มากเท่าใดๆ ก็ให้บรรลุสมบัติยิ่งๆ ขึ้นไป ถ้าทำพอประมาณ ก็ให้ได้มนุษย์สมบัติ สูงขึ้นไปก็ให้สำเร็จสวรรค์สมบัติ ตลอดถึงพรหมสมบัติ และพระนิพพานสมบัติ เหตุนั้น อริยทรัพย์ นี้จึงจัดเป็นทรัพย์อันประเสริฐ
อริยทรัพย์นั้น มีอยู่ ๗ ประการ คือ
๑. ทรัพย์คือ ศรัทธา
๒. ทรัพย์คือ ศีล
๓. ทรัพย์ คือ หิริ
๔. ทรัพย์ คือ โอตตัปปะ
๕. ทรัพย์ คือ สุตะ
๖. ทรัพย์ คือ จาคะ
๗. ทรัพย์ คือ ปัญญา
๑. คำว่า ศรัทธา ความเชื่อ มีอยู่หลายอย่างหลายประการ แต่ในที่นี้จะนำมาบรรยายเพียง ๒ ประการคือ
๑) ปกติศรัทธา เชื่อตามปกติของสามัญชน คือเชื่อว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทำบาปได้บาป ทำบุญได้บุญ เชื่อต่อคุณของพระรัตนตรัย ดังประชาชนชาวไทยของเราพากันเชื่ออยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนี้
ปกติศรัทธานี้ อาจเปลี่ยนแปลงได้ เช่น มีผู้มาว่าศาสนานั้นดีอย่างนั้นอย่างนี้ ลัทธิโน้นดีอย่างนั้น ลัทธินี้ดีอย่างนี้ เราอาจจะเลิกละจากศาสนาพุทธไปถือศาสนาอื่น หรือลัทธิอื่นก็ได้ เพราะยังเป็นปกติศรัทธา ศรัทธาธรรมดาอยู่ อาจจะเปลี่ยนแปลงได้ ดังที่พวกเราเห็นอยู่ทุกวันนี้แหละ บางทีเรานับถือศาสนาพุทธอยู่ดีๆ พอเขามาโฆษณาเขามาว่าอย่างนั้นอย่างนี้ เราก็ไปถือศาสนานั้นหรือลัทธินั้น
๒) ภาวนาศรัทธา ได้แก่ ความเชื่อของบุคคลที่ได้เจริญวิปัสสนากัมมัฏฐาน เห็นรูปนาม เห็นพระไตรลักษณ์ ได้บรรลุมรรคผลนิพพานแล้ว เชื่ออย่างหนักแน่นมั่นคง ไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน ไม่หวั่นไหว เรียกว่า อจลศรัทธา
หมายเอาความเชื่ออันเกิดจากภาวนาซึ่งตนได้ลงมือประพฤติปฏิบัติ พิสูจน์เห็นแจ้งประจักษ์มาแล้ว ดังหลักฐานปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๓ หน้า ๕ ว่า
อิธ ภิกฺขเว อริยสาวโก สทฺโธ โหติ สทฺทหติ ตถาคตสฺส โพธึ อิติปิ โส ภควา… พุทฺโธ ภควาติ อิทํ วุจฺจติ ภิกฺขเว สทฺธาธนํ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระอริยสาวกในพระศาสนานี้ เป็นผู้มีศรัทธา เชื่อต่อปัญญาเครื่องตรัสรู้ของพระตถาคตเจ้าว่าเป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว รู้แจ้งโลก เป็นสารถีผู้ฝึกบุคคลอย่างยอดเยี่ยม เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เป็นผู้มีโชค ดังนี้
ความเชื่อดังที่กล่าวมานี้ เรียกว่า สทฺธาธนํ ทรัพย์คือ ศรัทธา
๒. คำว่า ศีล แปลว่า ความรักษากายวาจาให้เรียบร้อย ได้แก่ ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ ในที่นี้จะได้นำเรื่องศีลมาบรรยายเพียง ๒ ประการ
๑) ปกติศีล ได้แก่ ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีลอุโบสถ ศีล ๒๒๗ ที่บุคคลรักษากันอยู่ทุกวันนี้ เป็นศีลขั้นสามัญ ศีลสังคม
๒) ภาวนาศีล ได้แก่ ศีล ๕ ศีล ๘ ศีลอุโบสถ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ ของผู้เจริญวิปัสสนากัมมัฏฐาน
เป็นศีลในองค์มรรค เกิดแก่ผู้เจริญวิปัสสนากัมมัฏฐานผ่านญาณ
ที่ ๔ คืออุทยัพพยญาณไปจนถึงมัคคญาณ ผลญาณ ปัจจเวกขณญาณ เรียกว่า ภาวนาศีล
เป็นศีลที่เกิดขึ้นจากการเจริญวิปัสสนาภาวนา ที่ว่า สีลธนํ ทรัพย์คือศีลในที่นี้หมายเอา
ภาวนาศีล อย่างนี้
๓. คำว่า หิริ แปลว่า ความละอายต่อบาป ต่อทุจริต ทางกาย ทางวาจา และทางใจ
๔. คำว่า โอตตัปปะ แปลว่า ความสะดุ้งกลัวต่อบาปทุจริต ทั้งทางกาย ทางวาจา ทางใจ
หิริกับโอตตัปปะนี้จะเกิดขึ้นได้ ต้องอาศัยเหตุ ๒ ประการ คือ
๑) เหตุภายนอก มีอยู่ ๔ อย่าง คือ
ก. กลัวต่อการถูกติเตียนตนด้วยตนเอง
ข. กลัวต่อการถูกติเตียนจากผู้อื่น
ค. กลัวต่อราชทัณฑ์คือกฎหมายบ้านเมือง
ง. กลัวต่อภัยในอบายภูมิ
๒) เหตุภายใน มีอยู่ ๘ ประการคือ
ก. กุละ มีความละอายบาปกลัวบาปโดยคำนึงถึงตระกูลของตน
ข. วยะ มีความละอายบาปกลัวบาปโดยคำนึงถึงวัยของตน
ค. พาหุสัจจะ มีความละอายบาปกลัวบาป โดยคำนึงถึงการศึกษาของตน
ง. ชาติมหัตตะ มีความละอายบาปกลัวบาป โดยคำนึงถึงชาติอันประเสริฐของตน
จ. สัตถุมหัตตะ มีความละอายบาปกลัวบาป โดยคำนึงถึงพระพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์ บิดามารดา
ฉ. ทายัชชมหัตตะ มีความละอายบาปกลัวบาป โดยคำนึงถึงมรดก ว่าเราทั้งหลายนี้ จะต้องได้รับมรดกธรรมจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และจากครูบาอาจารย์ จะต้องได้รับมรดกจากพ่อแม่ ตนเองผู้รับมรดกนั้น จะต้องรักษามรดกนั้นไว้ให้ดีตลอดไป เมื่อคิดขึ้นมาได้อย่างนี้ ก็มีความละอายบาปกลัวบาปขึ้นมา
ช. สพรหมจารีมหัตตะ มีความละอายบาปกลัวบาป โดยคำนึงถึงเพื่อนฝูงที่ดี ซึ่งเคยพบเห็นกันมา
ซ. สุรภาวะ มีความละอายบาปกลัวบาป โดยคำนึงถึงความกล้าหาญ และความสงบเสงี่ยมเจียมตัว
เมื่อบุคคลระลึกถึงเหตุภายนอกเหตุภายในเหล่านี้แล้ว จะเกิดความละอายต่อบาป กลัวต่อผลของบาป ไม่กล้าทำชั่วทางไตรทวาร ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ทั้งในที่ลับและที่แจ้ง ย่อมจะได้รับความสุขกายสบายใจทั้งในภพนี้และภพหน้า
หิริและโอตตัปปะทั้ง ๒ นี้ ที่จัดเป็นอริยทรัพย์นั้น หมายเอาเฉพาะ หิริโอตตัปปะ ที่เกิดขึ้นแก่ท่านผู้เจริญวิปัสสนาผ่านญาณ ๑๖ ไปดีแล้ว ย่อมงดเว้นจากอกุศลมีปาณาติบาต อทินนาทาน กาเมสุ มิจฉาจาร มุสาวาท และเว้นจากการดื่มสุราเมรัยเป็นต้น
๕. คำว่า สุตะ แปลว่าการสดับตรับฟังพระสัทธรรมเทศนา เพื่อให้เกิดความรู้ หรือเกิดปัญญา เกิดพหุสูต
พหุสูตนั้น มีอยู่ ๓ ประการคือ
๑) ปริยัติพหุสุตะ เป็นผู้ศึกษาเล่าเรียนมาก ได้สดับตรับฟังมามาก
๒) ปฏิปัตติพหุสุตะ เป็นพหุสูต เพราะลงมือปฏิบัติธรรมมามาก ย่อมฉลาด ย่อมสามารถ ย่อมเข้าใจในการปฏิบัติธรรม ในการแก้อารมณ์ของตนและคนอื่น เช่น เวลาเกิดนิมิตมีซากศพเป็นต้นเกิดขึ้นมา จะต้องกำหนดให้นิมิตนั้นหายไป ถ้าเรากำหนด ๓-๔ ครั้งไม่หาย ให้เข้าใจเถิดว่า สติ สมาธิ ปัญญาของเรายังหย่อน ต้องลุกไปเดินจงกรมเพิ่มสัก ๕ นาที ๑๐ นาที หรือ ๒๐ นาที ๓๐ นาที จึงมานั่งสมาธิต่อไป สติ สมาธิ ปัญญา และญาณจะได้ดีขึ้น
๓) ปฏิเวธพหุสุตะ เป็นพหุสูตเพราะรู้แจ้งแทงตลอดสภาวธรรมนั้นๆ ตามขั้นแห่งการปฏิบัติของตน เช่น รู้แจ้งปัจจุบันธรรม รู้แจ้งรูปนาม รู้แจ้งพระไตรลักษณ์ รู้แจ้งมรรคผลพระนิพพาน หรือรู้แจ้งแทงตลอดวิสุทธิ ๗ รู้แจ้งแทงตลอดญาณ ๑๖ สุตะที่จัดเป็นอริยทรัพย์ในที่นี้หมายเอาปฏิเวธพหุสูตนี้
๖. คำว่า จาคะ แปลว่า การบริจาค แบ่งเป็น ๓ คือ
๑) บริจาคตามปกติ เช่น บริจาคไทยธรรมต่างๆ มีทอดกฐิน ทอดผ้าป่า บริจาคปัจจัย ถวายทาน เป็นต้น
๒) บริจาคอย่างกลาง เรียกว่า ปริจาคโวสสัคคะ คือผู้นั้นมาเจริญวิปัสสนา ละกิเลสเพียงตทังคปหาน คือละได้ชั่วครู่ชั่วขณะบ้าง ละด้วยอำนาจของวิกขัมภนปหานบ้าง คือข่มกิเลสทั้งหลายทั้งปวงได้ด้วยกำลังของฌาน ในขณะที่กำลังของฌานมีอยู่ กิเลสทั้งหลายทั้งปวงนั้นเกิดขึ้นไม่ได้ ดุจเอาหินทับหญ้าไว้ ฉะนั้น
๓) บริจาคอย่างสูง เรียกว่า ปักขันทนโวสสัคคะ คือการสละกิเลสเครื่องเศร้าหมองโดยเป็น สมุจเฉทปหาน แล่นไปสู่พระนิพพาน มีพระนิพพานเป็นอารมณ์ ท่านหมายเอามัคคญาณ
รวมความว่า บริจาค นั้นมี ๓ อย่าง คือ
(๑) บริจาคทานตามปกติ เช่น บริจาคปัจจัย ๔ มีจีวร บิณฑบาตเป็นต้น อย่างหนึ่ง
(๒) บริจาคโดยการละกิเลส ด้วยการเจริญวิปัสสนากัมมัฏฐานชั่วครู่ชั่วคราว แต่ยังไม่ได้บรรลุมรรคผลนิพพานอย่างหนึ่ง
(๓) และการละกิเลสโดยเด็ดขาดด้วยการเจริญวิปัสสนากัมมัฏฐาน จนได้บรรลุมรรคผลนิพพานนั้นอย่างหนึ่ง
ย่อให้สั้นจำได้ง่าย ก็ได้แก่การบริจาคของภายนอก มีจตุปัจจัยไทยธรรมเป็นต้น บริจาคภายในกล่าวคือการละความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นต้น
จาคะ ที่จัดเป็นอริยทรัพย์ในที่นี้ ได้แก่การละกิเลสเป็นสมุจเฉทปหานเท่านั้น
๗. คำว่า ปัญญา แปลว่า ความรอบรู้ มี ๔ คือ
๑) สุตมยปัญญา ปัญญาเกิดจากการสดับตรับฟัง เกิดจากการศึกษาเล่าเรียน
ใครเรียนมากก็รู้มาก ใครเรียนน้อยก็รู้น้อย เช่น เรียนนักธรรมชั้นตรี นักธรรมชั้นโท นักธรรมชั้นเอก หรือเปรียญ ๓ เปรียญ ๔ เปรียญ ๕ เป็นต้น เราก็ได้ความรู้ขั้นนั้น ถ้าใครเรียนได้มาก ผู้นั้นก็ได้ความรู้มาก ทางโลกก็เหมือนกัน เราเรียนน้อยก็ได้ความรู้น้อย เรียนมากก็ได้ความรู้มาก จนสำเร็จถึงขั้นปริญญาตรี โท เอก
๒) ววัตถปัญญา ได้แก่ ปัญญาของบุคคลที่ได้เริ่มลงมือเจริญวิปัสสนากัมมัฏฐาน เริ่มกำหนดรูปนามเป็นอารมณ์
๓) สัมมสนปัญญา ได้แก่ ปัญญาของผู้ที่ลงมือเจริญวิปัสสนากัมมัฏฐาน กำหนดรูปนาม รู้รูปนาม รู้เหตุปัจจัยของรูปนาม รู้อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา รู้ความเกิดและความดับของรูปนาม รู้เฉพาะความดับไปของรูปนาม เห็นรูปนามเป็นของน่ากลัว
เห็นทุกข์เห็นโทษของรูปนาม เกิดความเบื่อหน่ายในรูปนาม อยากออกอยากหนี อยากหลุดพ้นไปจากรูปนาม มีความเพียรเข้มแข็ง มีใจเฉยๆ เตรียมตัวเข้าสู่มรรคผลพระนิพพาน โดยอาการ ๓ อย่าง คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อย่างใดอย่างหนึ่ง หน่วงเอาพระนิพพานเป็นอารมณ์ ญาณที่ ๑ จนถึงญาณที่ ๑๓ คือโคตรภูญาณนั่นเอง เรียกว่า สัมมสนปัญญา
๔) อภิสมยปัญญา ได้แก่ ปัญญาที่รู้แจ้งแทงตลอดซึ่งทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ได้แก่ ญาณที่ ๑๔ คือมัคคญาณนั่นเอง ญาณนี้เป็นโลกุตระ มีพระนิพพานเป็นอารมณ์
ปัญญาที่จัดเป็นอริยทรัพย์ในที่นี้ ได้แก่ ปัญญาข้อที่ ๔ คือ อภิสมยปัญญา เท่านั้น
ปัญญาทางโลกจะเกิดขึ้นได้ก็เพราะอาศัยบุคคลศึกษาเล่าเรียนค้นคว้า ถ้าคนฉลาดสามารถมีปัญญาดีแล้ว ย่อมหาเงินได้ง่ายๆ คือหาเอาจากมนุษย์ก็ได้ เช่น ทำหวีหวีผมมาขายบ้าง ทำสบู่ฟอกตัวบ้าง ทำแปรงสีฟันบ้าง ทำยาสีฟันบ้าง ทำน้ำมันทาผมบ้าง ทำเครื่องวิทยุโทรทัศน์ โทรภาพบ้าง เป็นต้น ในทางโลกถ้าคนฉลาดสามารถ มีปัญญาดี ก็หาเอาเงินทองได้จากภายในตัวเรานี้เอง ข้อนี้ ฉันใด ในทางธรรมก็เหมือนกัน ฉันนั้น
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ก็ทรงค้นคว้าหาเอามรรค ผล นิพพาน จากร่างกายอันยาววาหนาคืบนี้ ดังบาลีรับสมอ้างที่ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฏก เล่มที่ ๒๑ หน้าที่ ๖๔ บรรทัดที่ ๑๐ ว่า
อิมสฺมึเยว พฺยามมตฺเต กเฬวเร สสญฺญมฺหิ สมนเก โลกญฺจ ปญฺญาเปมิ โลกสมุทยญฺจ โลกนิโรธญฺจ โลกนิโรธคามินิญฺจ ปฏิปทนฺติ ฯ
ในอัตภาพอันยาววาหนาคืบอันเป็นกเฬวรากซากศพ ซึ่งเป็นไปกับด้วยเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณนี้ เราย่อมประกาศให้ทราบว่า อริยสัจธรรมทั้ง ๔ คือ
๑. โลกัญจะ โลกคือทุกข์
๒. โลกสมุทยัญจะ เหตุเกิดของโลก คือ สมุทัย
๓. โลกนิโรธัญจะ ความดับของโลก คือนิโรธ ได้แก่ พระนิพพาน
๔. โลกนิโรธคามินิญจะ ปฏิปะทัง ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับโลก ได้แก่มรรค ดังนี้
ทั้งหมดนี้ เป็นหลักของอริยทรัพย์ทั้ง ๗ ประการ
พอจะกล่าวได้ใจความว่า ในทางโลกนั้น คนฉลาดย่อมหาเอาทรัพย์สมบัติจากร่างกายของเรานี้เอง เราลองไปดูตามร้านขายของทุกประเภท จะเป็นเครื่องอะไรก็ตาม ถ้านึกมาใส่ตัวเราแล้ว เขาขายเพื่อให้เรานี้มาปรนเปรอร่างกายอันยาววาหนาคืบของเรานี้ ขายเครื่องดื่มก็ดี ขายผ้าผ่อนแพรพรรณก็ดี ขายเครื่องเพชรเครื่องทองก็ดี ขายกะปิน้ำปลา ขายเกลือ อะไรต่างๆ ก็ขายเพื่อให้เราได้บำรุงบำเรอร่างกายอันยาววาหนาคืบนี้
เพราะเหตุนั้น คนที่มีปัญญา มีความเฉลียวฉลาด เขาสามารถหาเอาเงินจากร่างกาย อันยาววาหนาคืบนี้ ไม่จำเป็นต้องไปหาที่ประเทศนอก ประเทศอื่น ข้อนี้ ฉันใด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและเหล่าอรหันต์สาวก เหล่าอริยบุคคลที่ท่านได้บรรลุมรรค ผล พระนิพพานนั้น ท่านก็หาเอาจากอัตภาพอันยาววาหนาคืบนี้ ฉันนั้น
ผู้ที่ได้มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ พรหมสมบัติก็ดี ได้วิชชา ปฏิสัมภิทา อภิญญาก็ดี สมบัติและคุณวิเศษเหล่านี้ เมื่อจะเกิดขึ้นก็เกิดขึ้นจากร่างกายอันยาววาหนาคืบนี้ ร่างกายอันยาววาหนาคืบนี้ เป็นก้อนสัจธรรม ธรรมะทั้งแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์คาถาก็รวมอยู่ที่นี้
เหตุนั้น ท่านนักปฏิบัติธรรมทั้งหลาย เวลาประพฤติปฏิบัติ เราอย่าไปเหม่อมองหรือใฝ่ฝัน หรือนึกถึงแต่เรื่องนอกตัวของเรา ทุกสิ่งทุกอย่างขอให้ระลึกถึงตัวของเราเป็นหลักไว้ว่า ธรรมะอยู่ที่นี้ เราบรรลุสมาธิ สมาบัติ มรรค ผล พระนิพพานอะไรนั้น ก็อยู่ที่ร่างกายอันยาววาหนาคืบของเรานี้ ครูบาอาจารย์ท่านจึงได้สอนว่า ให้มีสติสัมปชัญญะดูร่างกายอันยาววาหนาคืบนี้ ผลสุดท้ายก็จะได้มาซึ่งสมาธิ สมาบัติ มรรค ผล พระนิพพานเอง
อริยทรัพย์ทั้ง ๗ ประการนี้ มีแก่บุคคลใด เป็นหญิงก็ตาม เป็นชายก็ตาม ย่อมเป็นผู้มีความเชื่อมีความเลื่อมใสในพระรัตนตรัยหนักแน่นมั่นคงไม่หวั่นไหวเลย มีความเชื่ออยู่ตลอดไปจนกว่าจะถึงนิพพาน ดังมีเรื่องนี้เป็นตัวอย่าง
ในครั้งพุทธกาล มีบุรุษคนหนึ่งเป็นโรคเรื้อน ชื่อว่านายสุปปพุทธกุฏฐิ วันหนึ่งไปฟังเทศน์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั่งอยู่ที่ไกลๆ โน้น ไม่กล้าเข้ามาใกล้ เกรงคนอื่นจะรังเกียจ เมื่อฟังไปๆ ก็ส่งจิตส่งใจไปตามกระแสพระธรรมเทศนาที่พระองค์ทรงแสดง ส่งจิตตามไปพิจารณาตามไปๆ ผลสุดท้ายได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน เมื่อบรรลุเป็นพระโสดาบันแล้ว ก็คิดอยากจะเข้าไปกราบทูลคุณสมบัติที่ได้นั้นในสำนักขององค์สมเด็จพระบรมศาสดา
ขณะนั้น ท้าวสักกะทรงทราบแล้วจึงปรากฏกายให้เขาเห็นแล้วพูดว่า ดูก่อนสุปปพุทธกุฏฐิ เธอเป็นมนุษย์ขัดสน เป็นมนุษย์ยากไร้ ถ้าเธอกล่าวว่า พระพุทธไม่ใช่พระพุทธ พระธรรมไม่ใช่พระธรรม พระสงฆ์ไม่ใช่พระสงฆ์ อย่าเลย พระพุทธเจ้าไม่ใช่ของเรา พระธรรมไม่ใช่ของเรา พระสงฆ์ไม่ใช่ของเรา เพียงเท่านี้ ฉันจะให้เงิน ฉันจะให้ทรัพย์สมบัติมากมายหาที่สุดมิได้ จนๆ อย่างเธอนี้ว่าซิ เธอจะเอาเท่าไร ฉันจะให้
เมื่อสุปปพุทธกุฏฐิได้ยินคำนั้นจึงถามว่า ท่านนี้เป็นใคร มาจากไหน “ฉันเป็นเทวดา เป็นพระอินทร์มาจากเทวโลก” เมื่อท้าวสักกะกล่าวดังนั้น สุปปพุทธกุฏฐิจึงกล่าวขึ้นว่า อเปหิ เทวเต ไปๆ เทวดาอันธพาล เทวดาขี้ชั่ว อย่ามาพูดกับข้าพเจ้าว่า เป็นคนจน ข้าพเจ้าไม่จน ส่วนท่านนั่นแหละเป็นคนจน
พระอินทร์หายวับไปกราบทูลองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า พระพุทธเจ้าข้า วิสัยของคนถึงธรรมนี้ แม้จะจนแสนจน เราจะให้เงินให้ทองสักเท่าใดๆ ก็ไม่เอา เพียงแต่ให้พูดว่า พระพุทธเจ้าไม่ใช่พระพุทธเจ้า พระธรรมไม่ใช่พระธรรม พระสงฆ์ไม่ใช่พระสงฆ์ อย่าเลย พระพุทธเจ้าไม่ใช่ของเรา พระธรรมไม่ใช่ของเรา พระสงฆ์ไม่ใช่ของเรา เพียงแค่นี้ก็ไม่เอา วิสัยของคนถึงธรรมนี้ มีความเชื่อมั่นในพระรัตนตรัยจริงๆ ไม่หวั่นไหว แม้ตนจะจนแสนจน ก็ไม่ยอมละพระรัตนตรัยพระพุทธเจ้าข้า
องค์สมเด็จพระบรมศาสดาทรงทราบเช่นนั้นแล้วจึงตรัสว่า ดูก่อนมหาบพิตร ลูกของอาตมภาพไม่จน เป็นคนร่ำรวยที่สุด คือร่ำรวยทรัพย์ภายใน ถึงจนก็จนแต่ทรัพย์ภายนอกเท่านั้น ส่วนทรัพย์ภายในไม่จน มีบริบูรณ์พร้อมมูลแล้วทุกอย่าง แล้วพระองค์จึงทรงยกอริยทรัพย์ทั้ง ๗ ประการ (ในสุตตันตปิฎกบาลี เล่มที่ ๒๓ ธนวรรค สัตตกนิบาต อังคุตตรนิกาย หน้า ๔-๗) มาตรัสเทศนาว่า
สทฺธาธนํ สีลธนํ หิรี โอตฺตปฺปิยํ ธนํ
สุตธนญฺจ จาโค จ ปญฺญา เว สตฺตมํ ธนํ
อริยทรัพย์ ๗ ประการ ทรัพย์คือศรัทธา ทรัพย์คือศีล ทรัพย์คือหิริ ทรัพย์คือโอตตัปปะ ทรัพย์คือสุตะ ทรัพย์คือจาคะ ทรัพย์คือปัญญา
ยสฺส เอตา ธนา อตฺถิ อิตฺถิยา ปุริสสฺส วา
อทลิทฺโทติ ตํ อาหุ อโมฆํ ตสฺส ชีวิตํ
อริยทรัพย์ ๗ ประการนี้มีแก่บุคคลใด เป็นหญิงก็ตาม ชายก็ตาม ชีวิตของบุคคลนั้นไม่เปล่าจากประโยชน์เลย นักปราชญ์กล่าวบุคคลนั้นว่าไม่จน เป็นคนร่ำรวยที่สุด
ดังนั้น ท่านนักปฏิบัติธรรมทั้งหลาย ขอจงได้ภาคภูมิใจ ปลื้มใจ ปีติปราโมทย์ รื่นเริง บันเทิงใจ ดีใจได้แล้ว ที่เราได้มีโอกาสประพฤติปฏิบัติธรรม สร้างสมอบรมอริยทรัพย์อันประเสริฐให้เกิดให้มีขึ้นในตน อันโจรหรือใครก็ลักไปไม่ได้ ไฟก็ไม่ไหม้ น้ำก็ไม่ท่วม เป็นอนุคามินี ติดตามตนไปทุกฝีก้าว เราจะไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา จะได้อาศัยอริยทรัพย์เป็นเสบียงเดินทางไปสู่สุคติภพจนได้บรรลุมรรคผลนิพพาน อันเป็นเอกันตบรมสุข เป็นอวสาน.