สัมโมทนียกถาวันพบญาติ

สัมโมทนียกถาวันพบญาติ

การสงเคราะห์ญาติ

โดย พระราชปริยัตยากร (บุญเรือง สารโท)

———————

ญาตกานญฺจ สงฺคโห   เอตมฺมงฺคลมุตฺตมนฺติ[1]

          ณ โอกาสบัดนี้ อาตมภาพจะได้น้อมเอาธรรมะอันเป็นคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระชินวรศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ามาแสดง เพื่อเป็นเครื่องประดับสติปัญญา เพิ่มพูนกุศลจริยาสัมมาปฏิบัติของท่านทั้งหลาย

          ด้วยว่าวันนี้ ถือเป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่งในทางพระพุทธศาสนา คือวันสำคัญในทางพุทธศาสนานั้นที่ท่านจัดไว้ เช่น วันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันอัฏฐมีบูชา และก็วันอาสาฬหบูชา แต่สำหรับวันนี้เป็นวันญาติ เป็นวันที่พวกเราทั้งหลายไว้อาลัยถึงญาติ หรือว่านึกถึงญาติ

          ญาติ นั้น หมายเอาทั้งญาติที่อยู่ด้วยกันในปัจจุบันชาตินี้ และหมายรวมไปถึงญาติที่ล่วงมาแล้วแต่ในอดีตไกลๆ โน้น นี่นับว่าเป็นญาติ

          วันนี้ เรามาบำเพ็ญบุญบำเพ็ญกุศล เพื่อบำเพ็ญกตัญญูกตเวทิตาธรรม อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลไปถึงญาติทั้งหลายที่ล่วงลับวายชนม์ไปยังปรโลกเบื้องหน้าบ้าง และเป็นการสงเคราะห์อนุเคราะห์ญาติมิตรทั้งหลายที่อยู่ด้วยกันในโลกนี้บ้าง เพราะว่าการที่เราทั้งหลายมีความกตัญญูกตเวทีต่อกันนี้ ถือว่าเป็นนิมิตหมายของคนดี ดังพระธรรมภาษิตที่ว่า

นิมิตฺตํ สาธุรูปานํ  กตญฺญูกตเวทิตา

ความกตัญญูกตเวที เป็นนิมิตคือเครื่องหมายของคนดี

          เขาจะดูคน ว่าคนนี้เป็นคนดีหรือคนไม่ดี เขาต้องดูกันที่ว่าคนนี้เป็นคนมีความกตัญญูกตเวทีหรือไม่ ถ้ามีความกตัญญูกตเวที รู้อุปการคุณของผู้อื่น แล้วก็ตอบแทนคุณของผู้อื่น ก็จัดว่าเป็นคนดีได้ แต่ถ้ารู้คุณของผู้อื่นอยู่ แต่ไม่ตอบบุญสนองคุณของผู้อื่น ก็ยังจัดว่าเป็นคนดีไม่ได้

          สำหรับญาตินั้น ในทางพระพุทธศาสนาจัดไว้เป็น ๗ ชั้น คือ

          ๑)    ชั้นเราเอง ชั้นเราเองนี้ก็รวมทั้งพี่หญิง พี่ชาย น้องหญิง น้องชาย

          ๒)    ชั้นบน คือพ่อ แม่ และก็พี่หญิง พี่ชายของพ่อของแม่ น้องหญิง น้องชายของพ่อของแม่

          ๓)    ชั้นปู่ ก็หมายเอา ทั้งปู่ ทั้งย่า ทั้งตา ทั้งยาย พี่หญิง พี่ชายของปู่ของย่า น้องหญิง น้องชายของปู่ของย่า ตา ยาย

          ๔)    ทวด แล้วก็พี่หญิง พี่ชาย ของปู่ทวด ตาทวด น้องหญิง น้องชาย ของปู่ทวด ตาทวด ย่าทวด ยายทวด

          ๕)    ชั้นล่าง ก็หมายเอาลูกหญิงลูกชายของเรา

          ๖)    หมายเอาหลานหญิง หลานชาย

          ๗)   หมายเอาเหลนหญิง เหลนชาย

          คนทั้งหลายจะเห็นกันได้ก็เพียง ๗บุพชนก หรือชั่ว ๗ โคตรนี้เท่านั้น นอกนั้นก็ไม่เห็นกัน คือสูงขึ้นไปเราจะเห็นกันอย่างมากที่สุดก็ถึงทวด ต่ำลงไปเราก็จะเห็นได้ก็เฉพาะเหลนเท่านั้น คนที่นับเนื่องกันชั่ว ๗ บุพชนก บุพชนนีนี่แหละ เรียกว่า เป็นญาติ

          ทีนี้ สำหรับ เขยและสะใภ้ ไม่นับว่าเป็นญาติ เว้นไว้แต่ผู้นั้นจะเกี่ยวเป็นญาติด้วย คือหมายความว่า ถ้าเขยหรือสะใภ้ที่ไม่อยู่ในวงศ์ตระกูลชั่ว ๗ บุพชนก บุพชนนี ชั่ว ๗ โคตรนี้ ไม่นับว่าเป็นญาติ แต่ว่าถ้าผู้ที่เป็นเขยเป็นสะใภ้นั้นอยู่ในวงศ์เดียวกัน บ้านเราเรียกว่า ญาติพี่น้องแต่งงานกัน เช่นว่า ลูกป้า ลูกลุง ลูกน้า ลูกอา แต่งงานกัน อันนี้ เขยหรือสะใภ้นั้นก็นับว่าเป็นญาติด้วย

          การที่เราทั้งหลายสงเคราะห์ญาตินั้น ก็แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ

          ประเภทที่หนึ่ง สงเคราะห์ด้วยอามิส (มีลักษณะคือ)

         ๑)     ได้แก่สงเคราะห์ด้วยเครื่องนุ่งเครื่องห่ม เครื่องประดับประดาตกแต่งร่างกาย เท่าที่เราทั้งหลายจะหาได้ หรือหากว่าญาติพี่น้องทั้งหลายเกิดความเดือดร้อนขึ้นมา แล้วมาหาเราเพื่อขอความช่วยเหลือ เราก็ช่วยเหลือไปตามฐานะเท่าที่เราจะทำได้ หรือว่าลูกๆ หลานๆ ญาติพี่น้องของเราไปศึกษาเล่าเรียน ไม่มีเงินเสียค่าเทอม ไม่มีเงินซื้อเครื่องแต่งตัว ไม่มีเงินซื้ออุปกรณ์การเรียน มาขอร้องเพื่อขอความช่วยเหลือ เราก็ช่วยเหลือไปตามฐานะที่เรา
จะทำได้ สรุปแล้วว่า การที่เราช่วยเหลือกันด้วยสิ่งของต่างๆ นานาประการ ตามเกิดตามมีนี้ เรียกว่า ช่วยเหลือกันด้วยอามิส

         ๒)     ช่วยเหลือกันด้วยอาหารการบริโภค คือคนเรานั้นเกิดขึ้นมาแล้ว จะเป็นผู้ที่มั่งมีศรีสุขเหมือนกันทั้งหมด หามิได้ หรือเรามั่งมีศรีสุขแล้ว จะมั่งมีศรีสุขตลอดไปนั้นก็เป็นสิ่งไม่แน่นอนเหมือนกัน หรือว่า ถึงเรายากจนข้นแค้นอนาถา ถือกระเบื้องขอทาน ถือกะลาขอข้าว หากินฝืดเคือง ก็นึกว่าตนจะได้รับความทนทุกข์เดือดร้อนอย่างนี้ตลอดไป ก็เป็นของที่ไม่แน่นอนเหมือนกัน

         เพราะฉะนั้น หากญาติพี่น้องของเราเป็นคนที่ยากจน ขาดอาหารการบริโภค คือหมายความว่า ข้าวจะรับประทาน ข้าวจะบริโภคระหว่างครอบครัวก็ไม่มี แล้วก็มาหาเราผู้เป็นญาติ ผู้มีอันจะอยู่จะกิน เราก็ช่วยสงเคราะห์กันตามเกิดตามมี มีข้าวปลาอาหาร เราก็หยิบยื่นส่งให้กัน

          เมื่อก่อนโน้น ในสมัยที่อาตมายังเป็นเด็กอยู่ รู้สึกว่าญาติพี่น้องทั้งหลายนี้มีความรักใคร่กลมเกลียวเป็นอันดี มีอะไรก็ส่งเสียกัน ไม่เหมือนกับสมัยนี้ เดี๋ยวนี้คุณค่านิยมอันดีๆ นั้นก็เลือนหายไปแล้ว ไม่ยักจะมี คือเมื่อก่อนโน้น พวกเราชาวบ้านพากันไปหาอยู่หากินมา ได้อาหารการกินการอยู่มาแล้วก็แบ่งสันปันส่วนกันตามเกิดตามมี

          ส่วนนี้ไปให้พ่อให้แม่ ส่วนนี้ไปให้ป้าให้ลุง ส่วนนี้ให้น้าให้อา ส่วนนี้ไปให้มิตรที่มีความรักใคร่นับถือกัน คนเราเมื่อได้รับการสงเคราะห์อนุเคราะห์กัน ก็เป็นที่รักใคร่นับถือกัน ยึดเหนี่ยวน้ำใจกันไว้ได้ เพราะว่าผู้ให้นั้นย่อมเป็นที่รักใคร่ของผู้รับผู้รับย่อมเคารพนับถือต่อผู้ให้ เหตุนั้น การที่เราสงเคราะห์กันด้วยอาหารการบริโภคนี้ ก็เรียกว่าเป็นการสงเคราะห์ญาติด้วยอามิสประการหนึ่ง

         ๓)     เราสงเคราะห์ด้วยที่อยู่ที่อาศัย สมมติว่า ญาติพี่น้องของเราเกิดขึ้นมาแล้ว ไม่มีที่จะทำอยู่ทำกิน เรามีพอจะแบ่งสันปันส่วนหรือมีทุนมีรอนก็ช่วยเหลือกัน จะรวบรวมทุนรอนนั้นซื้อที่ทำอยู่ทำกินให้บ้าง หรือว่าญาติพี่น้องไม่มีที่ปลูกบ้าน เราก็ช่วยกันออกทุนออกรอนให้ โดยให้กู้ให้ยืมก็ยังดีกว่าไม่ให้เสียเลย

         ถ้าว่าญาติพี่น้องของเรามีธุระเกิดขึ้น เช่น จะปลูกบ้านปลูกเรือน หรือทำกิจทำการต่างๆ เช่น ทำไร่ ทำนา เป็นต้น เราก็ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน จนกว่าการงานจะสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี อันนี้ก็เรียกว่าเป็นการสงเคราะห์ญาติด้วยอามิสประการหนึ่ง

         ๔)     เมื่อญาติพี่น้องของเรามีอาการเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา เราก็ไม่นิ่งดูดาย ไม่เป็นคนใจจืดใจดำ เป็นคนที่ประกอบด้วยเมตตาอารีย์ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่กัน เยี่ยมป่วยเยี่ยมไข้กัน เฝ้าป่วยเฝ้าไข้กัน มีหยูกมียาก็หามารักษาพยาบาลกัน หรือว่าจำเป็นที่จะต้องไปหาแพทย์หาหมอ เพราะถ้าว่าหมอบ้านเราแพทย์บ้านเราไม่สามารถจะรักษาได้ เราก็ช่วยนำพาไปหาแพทย์หาหมอ (รพ.) เพื่อเยียวยารักษาพยาบาลให้โรคภัยไข้เจ็บนั้นหายไป

         แต่ประเพณีอันนี้ก็เสียอยู่อย่างหนึ่ง คือสมมติว่า มีญาติโกโหติกาของเราเกิดเจ็บไข้ได้ป่วย ไปรักษาที่โรงพยาบาลเขมราฐบ้าง ตระการบ้าง อำนาจบ้าง หรือเมืองอุบลฯบ้าง พวกญาติพี่น้องทั้งหลายก็เฮโลกันไปเป็นคันรถ ๒ คันรถ แต่เมื่อไปแล้วแทนที่จะช่วยเหลือกันก็ไม่ช่วยเหลือกัน การอยู่การกินก็อยู่กับเจ้าทุกข์ ค่ารถค่าราการไปการมาก็อยู่กับเจ้าทุกข์ คืออะไรๆ ภารธุระทุกสิ่งทุกอย่างก็อยู่ที่เจ้าทุกข์ แทนที่เจ้าทุกข์จะได้ใช้เงินใช้ทองเหล่านั้นมาเป็นเครื่องพยาบาล กลับตาลปัตรตรงกันข้าม กลับต้องมาใช้เป็นค่าอาหารค่ารถค่าราให้ญาติพี่น้องที่ไปเยี่ยมไปยามเสีย

          อันนี้ก็ขอกระซิบชาวบ้านของเราทั้งหลาย ต่อไปก็ขออย่าได้ทำอย่างนี้ ขอให้ช่วยเหลือเกื้อหนุนกัน เพราะคนเราเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยนั้น ส่วนมากก็ไม่มีสะตุ้งสตังค์ เชือกเวลามันจะขาดมันก็ขาดที่มันกิ่ว คนเราเมื่อทรัพย์สินเงินทองไม่มี เจ็บไข้ได้ป่วยอะไรทำนองนี้ เพราะฉะนั้น ให้ช่วยเหลือกัน ถ้าเราช่วยเหลือกันได้อย่างนี้ เรียกว่าเราได้สงเคราะห์ญาติด้วยอามิสเป็นประการที่ ๔

            ประเภทที่ ๒ (สงเคราะห์ด้วยธรรม) ทีนี้ นอกจากเราจะสงเคราะห์ญาติของเราด้วยอามิสแล้ว ก็สงเคราะห์ด้วยธรรมะ หมายความว่า ช่วยแนะนำพร่ำสอนตักเตือนกัน ให้รู้จักความผิดชอบชั่วดี บาปบุญ คุณโทษ ประโยชน์หรือมิใช่ประโยชน์ แนะนำตักเตือนกันให้รู้จักประโยชน์โลกนี้ ให้รู้จักประโยชน์โลกหน้า ให้รู้จักประโยชน์อย่างยิ่งคือพระนิพพาน ให้รู้จักการให้ทาน รักษาศีล ไหว้พระ ทำวัตร สวดมนต์ ฟังเทศน์ ให้รู้จักวิธีเจริญสมถะและวิปัสสนาภาวนา

          หากว่าเห็นลูกๆ หลานๆ ของเราไปทำผิด เราก็ช่วยตักเตือนกัน ไม่ใช่ว่าจะปล่อยไปตามเลย พวกเราทั้งหลายทุกวันนี้ขาดธรรมะข้อนี้เสียเป็นส่วนมาก กระทั่งผู้เป็นพ่อเป็นแม่ ส่วนมากก็ไม่นำพาในลูกในหลาน สมมติว่า ลูกหลานของเราไปดมกาวก็ดี ไปดมทินเนอร์ก็ดี สูบกัญชาก็ดี สูบฝิ่นก็ดี ไปสูบเฮโรอีนก็ดี ไปกินเหล้าเมาสุราก็ดี ไปติดการพนันก็ดี เป็นคนเจ้าชู้ก็ดี สำหรับผู้ที่เป็นพ่อเป็นแม่นั้น ควรที่จะเอาใจใส่ แนะนำ พร่ำสอน ตักเตือนผู้เป็นลูกเป็นหลานของเรา

          หากว่าลูกที่บังเกิดในหัวอกของเราแล้ว หากเราไม่เตือนแล้ว ใครล่ะจะมาเป็นผู้ตักเตือน เหตุนั้น ข้อนี้ถือว่าเป็นการบกพร่องของผู้เป็นพ่อเป็นแม่ เท่าที่หลวงพ่อมาอยู่ด้วยหลายปีมานี้ ส่วนมากสังเกตเห็นว่าข้อนี้บกพร่อง ผู้เป็นพ่อเป็นแม่ส่วนมากนั้นบกพร่องกัน ไม่เอาใจใส่ในลูกในหลาน

          บางทีบวชเข้ามาในวัดในวาแล้วก็ยังเป็นสิงห์เฮโรอีนอยู่ ต้องให้สิกขาลาเพศไป บวชมาแล้ว เราไม่ให้สูบกัญชา ไม่ให้สูบฝิ่น ไม่ให้สูบเฮโรอีน ไม่ให้เสพของมึนเมา แต่บางคนบวชเข้ามาแล้ว ก็เอายาแก้ปวดหายนี่แหละมาผสมกันมาบวกกันกับยากรุงทอง สามิตร สายฝน รวงทองอะไรทำนองนี้ ก็พากันสูบ ก็ยิ่งไปกันใหญ่ นี้หากว่าเมื่อมาบวชแล้วไม่ดี ก็หาว่าหลวงพ่อนี้ไม่เอาใจใส่แนะนำพร่ำสอนลูกศิษย์ลูกหา หลวงพ่อหายใจทุกลมหายใจนั้น เป็นของลูกศิษย์ลูกหา เป็นของญาติของโยมไปทั้งหมด มันก็เป็นมาแต่ก่อนบวชโน้น เมื่อเราจะมาดัดแปลงเอาเป็นเวลา ๑ เดือน หรือ ๒ เดือนนี้ บางทีมันก็ทำได้ บางทีก็ทำไม่ได้

          เหตุนั้น การที่เราทั้งหลายตักเตือนญาติพี่น้องของเราให้รู้จักผิดชอบชั่วดี ให้รู้จักประโยชน์ชาตินี้ ประโยชน์ชาติหน้า ประโยชน์อย่างยิ่งคือพระนิพพาน ให้รู้ว่าสิ่งใดประพฤติปฏิบัติแล้วจะนำมาซึ่งโทษทุกข์ สิ่งใดประพฤติปฏิบัติแล้วจะนำมาซึ่งความสุขความเจริญ เราก็สงเคราะห์กันอย่างนี้ด้วยตักเตือนกัน ก็เรียกว่าเป็นการสงเคราะห์ญาติด้วยธรรมะ

          ทีนี้หากว่าผู้ใดไม่สงเคราะห์ญาติล่ะ ไม่เอาใจใส่ในการสงเคราะห์ญาติ เมินเฉยต่อการสงเคราะห์ญาติ ผู้นั้นก็จะมีแต่ความล่มจมไปตามลำดับ ดังที่เห็นกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนี้ ญาติพี่น้องหันหน้าเข้าหากันไม่ได้ ป้า ลุง น้า อา หันหน้าเข้าหากันไม่ได้ เพราะอะไร เพราะไม่มีการสงเคราะห์ซึ่งกันและกัน เมื่อเราไม่มีการสงเคราะห์กัน ก็มีแต่ความเสื่อมทรามลงไปเรื่อยๆ ผลสุดท้ายก็ตัดญาติขาดมิตร ไม่รู้จักกัน ไม่รู้ว่าใครเป็นญาติใครไม่เป็นญาติ

          เมื่อเราไม่ไปหามาสู่กัน บ้านเฮาเพิ่นว่า แก้วบ่ขัดสามปีเป็นแฮ่ พี่น้องบ่แหว่สามปีเป็นเพิ่น หมายความว่า ถ้าเราไม่มีการสงเคราะห์กัน เราไม่มีการไปหามาสู่กัน ผลสุดท้ายก็ลืมเลือนกัน จำกันไม่ได้ การสงเคราะห์ญาตินี้ ถือว่าเป็นมงคลทั้งในปัจจุบันและอนาคต ถ้าว่าเรามีการสงเคราะห์กันนี้ ก็นับว่าเป็นมงคลอันสูงสุด ดังพระพุทธพจน์ที่ได้ยกไว้เป็นนิกเขปบทในเบื้องต้นนั้นว่า

ญาตกานญฺจ สงฺคโห    เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ.

การสงเคราะห์ญาติ เป็นมงคลอันประเสริฐสุด

          ส่วนการไม่สงเคราะห์ญาตินี้ ถือว่าเป็นการตัดอนาคตอีกเหมือนกัน ถ้าว่าเราคิดว่าอนาคตจึงจะสงเคราะห์ญาติ คือตายไปแล้วเกิดชาติใหม่โน้นจึงจะมาสงเคราะห์ญาติ มันก็สงเคราะห์กันไม่ได้ หรือว่าบางครั้ง ผู้นั้นอาจจะเคยเป็นญาติของเรามาก่อน เราอาจจะระลึกได้อยู่ว่าคนนี้เคยเป็นญาติของเรามาก่อน เราก็ทำการสงเคราะห์ แต่เมื่อสงเคราะห์ไปแล้ว ก็อาจจะไม่เกิดประโยชน์อะไรทั้งสองฝ่าย ถ้าว่าเราไม่สงเคราะห์ญาตินั้น ปัจจุบันก็ไม่มีการสงเคราะห์ญาติ วันหน้าเราก็ไม่มีการสงเคราะห์ญาติของเรา ก็มีแต่จะได้รับความอับเฉาเสื่อมโทรมลงไปตามลำดับ

          อุปมาเหมือนกับพระจันทร์ในข้างแรม มีแต่มืดเข้าไปทุกวันๆ แต่ละวันๆ ก็มืดเข้าไปทุกวันๆ ผลสุดท้ายก็ถึงวันพระจันทร์ดับ ไม่มีแสงสว่างโผล่ออกมาให้เราเห็น ฉันใด ถ้าว่าพวกเราทั้งหลายไม่มีการสงเคราะห์ญาติแล้ว ก็จะมีแต่ความอับเฉาเสื่อมโทรมลงไปทุกวัน บ้านเมืองก็ระส่ำระสาย ไม่มีความสามัคคีปรองดองเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

          แต่ถ้าพวกเราทั้งหลายมีการสงเคราะห์ญาติ เอาใจใส่ในการสงเคราะห์ญาติ ไปหามาสู่กัน ช่วยเหลือสงเคราะห์กัน ด้วยอามิสบ้าง ด้วยธรรมะบ้าง ผู้นั้นก็จะมีแต่ความเจริญรุ่งเรือง วัฒนาถาวรตลอดไป

          อุปมาเหมือนพระจันทร์ในข้างขึ้น มีแต่จะส่องแสงสว่างขึ้นไปตามลำดับๆ วันนี้สว่างแค่นี้ วัน ๒ ค่ำสว่างขึ้นไปอีก ๓ ค่ำสว่างขึ้นไปอีก ๔ ค่ำ ๕ ค่ำ ๖ ค่ำ ๗ ค่ำ สว่างขึ้นไปอีก แล้วก็สว่างขึ้นไปเรื่อยๆ จนพระจันทร์วันเพ็ญ แล้วก็แผ่รัศมีคือแสงสว่างนั้นเต็มทั่วไปทั้งหมด ฉันใด

          การที่เราทั้งหลายเอาใจใส่สงเคราะห์ญาติของเรา ด้วยการให้อามิสสิ่งของก็ดี ด้วยการให้ธรรมะก็ดี ย่อมจะนำมาซึ่งความเจริญรุ่งเรืองวัฒนาสถาพรตลอดไป แล้วก็จะมีความสามัคคีปรองดองเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เมื่อระหว่างหมู่ญาติต่อหมู่ญาติมีความสามัคคีกัน บ้านก็สามัคคีกัน ระหว่างหมู่บ้านต่อหมู่บ้านก็มีความสามัคคีกัน ระหว่างตำบลต่อตำบล อำเภอต่ออำเภอ จังหวัดต่อจังหวัด ก็มีความสามัคคีปรองดองเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

          ญาติโยม ท่านสาธุชนทั้งหลาย คนเราทั้งหลายนั้น เมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว มีทรัพย์สินเงินทองพอจะอยู่จะกิน มีพอจะอยู่จะใช้ แต่เราไม่ใช้ไม่กิน และก็ไม่ทำบุญกุศลศีลทาน ถึงจะมีทรัพย์มากสักปานใด ก็ถือว่าเป็นคนยากจนข้นแค้นอนาถา ไม่มีเงินไม่มีทอง ไม่สามารถที่จะได้รับประโยชน์อะไรจากการมีทรัพย์สมบัตินั้น ในโลกนี้เราก็ยังไม่ได้รับความสุขจากการมีทรัพย์

          เมื่อตายไปแล้วไปเกิดชาติใหม่ เราก็ยิ่งจะเป็นคนจนข้นแค้นอนาถา ถือกระเบื้องขอทาน ถือกะลาขอข้าว หากินฝืดเคือง ต้องขอบ้านขอเมืองเขากินจึงจะได้กิน ตัวอย่าง เรื่อง อปุตตกเศรษฐี[2]

          มีเรื่องเล่าว่า เศรษฐีคนหนึ่งมีทรัพย์ถึง ๘๐ โกฏิ แต่ไม่มีบุตร เศรษฐีคนนั้นเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียวทรัพย์สมบัติ เวลาจะรับประทานอาหารก็รับประทานแต่ของบูดๆ ราๆ เวลาจะบริโภคผลไม้ ก็บริโภคแต่ผลไม้ที่เน่าๆ เสียๆ เวลาจะนุ่งจะห่มก็นุ่งห่มแต่ของเก่าๆ อันหาราคาค่างวดมิได้ เป็นคนตระหนี่มาก หลังจากนั้นมาไม่นานเศรษฐีคนนั้นก็ถึงแก่กรรม

          ตทา ราชา ครั้งนั้น สมเด็จพระราชาทรงทราบว่าเศรษฐีคนนี้เขาไม่มีบุตร จึงสั่งเจ้าหน้าที่คลังหลวงทั้งหลายไปขนทรัพย์ทั้ง ๘๐ โกฏิของเศรษฐีนั้นมาไว้ในคลังหลวง สำหรับอปุตตกเศรษฐีนั้น เมื่อจุติจากอัตภาพนั้นแล้วก็ไปบังเกิดในท้องคนขอทาน เมื่อไปเกิดในท้องคนขอทานนั้น ระหว่างคนขอทานนั้นมีเป็นจำนวนมาก เขาก็แบ่งกันเป็นกลุ่มๆ วันนี้กลุ่มนี้ไปขอทานบ้านโน้น กลุ่มนี้ไปขอทานบ้านนี้ กลุ่มนี้ไปขอทานบ้านนั้น สลับกันไป

          ทีนี้วันไหนที่มารดาของทารก(อดีตชาติคืออปุตตกเศรษฐี)นั้นไปด้วย วันนั้นก็ขอไม่ได้ คนขอทานทั้งกลุ่มนั้นแหละ จะขออะไรไม่ได้เลย แม้แต่ข้าวขันเดียว เงินหนึ่งบาทก็ขอไม่ได้ ผลสุดท้ายเขาก็เลยไม่ให้ไปด้วย ไม่ให้ไปขอทานกับเขา เขาให้อยู่บ้าน ให้อยู่ที่พัก เมื่อคนขอทานทั้งหลายเหล่านั้นไปขอทานได้แล้ว จึงแบ่งข้าวปลาอาหารเงินทองให้อยู่ให้กินสืบไปวันๆ พอประทังชีวิตไว้

          ครั้นจำเนียรกาลนานมา เมื่อถือครรภ์ถึง ๙ เดือนแล้วก็คลอดบุตรออกมา เมื่อคลอดบุตรออกมาแล้ว วันไหนเอาบุตรไปขอทานด้วย วันนั้นก็เป็นอันว่าไม่ได้ แม้แต่ข้าวขันเดียว เงินบาทเดียวก็ไม่ได้ เพราะเหตุไร เพราะเหตุที่(ชาติก่อน)อปุตตกเศรษฐีนั้นมีทรัพย์ถึง ๘๐ โกฏิ แต่แม้สตางค์เดียวก็ไม่เคยทำบุญทำทานเลย

          เป็นคนตระหนี่ถี่เหนียว จะรับประทานอาหารก็รับประทานแต่ของที่มันบูดๆ ราๆ จะบริโภคผลไม้ ก็บริโภคแต่ผลที่มันเน่าๆ เสียๆ แล้วจะนุ่งจะห่ม ก็นุ่งห่มแต่ของที่เก่าหาราคาค่างวดมิได้ เขาเรียกว่า เศรษฐีขี้ทุกข์ มีทรัพย์สมบัติ แต่ก็ไม่สามารถทำทรัพย์สมบัติให้เกิดประโยชน์ได้

          ครั้นทารกนั้นเจริญวัยขึ้นมา เวลาจะไปขอทานทีนี้ มารดาต้องเอาไปฝากไว้กับพวกเด็กชาวบ้านทั้งหลาย แล้วก็ไปขอทาน กลับมาแล้วจึงมารับเอาลูกของตนไป วันหนึ่ง ในขณะที่จะไปขอทานในเมือง แล้วก็เอาบุตรของตนนี้ไปฝากไว้กับเด็กทั้งหลาย ใกล้ประตูเมือง

          สตฺถา ปิณฺฑาย อาคนฺตฺวา วันนั้น องค์สมเด็จพระบรมศาสดา พร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายเสด็จเที่ยวบิณฑบาตในพระนคร เมื่อพระองค์เสด็จไปถึงที่ที่เด็กทารกนั้นเล่นอยู่กับเด็กทั้งหลาย ทรงแย้มพระโอษฐ์ บ้านเราว่า ทรงยิ้ม คือพระพุทธเจ้านั้นไม่หัวเราะเหมือนกับพวกเรานะ ไม่ยิ้มเหมือนพวกเรา จะมีอาการเฉยอยู่ตลอดเวลา แต่อาการเฉยของพระองค์นั้น ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะมีใจจืดใจดำนะ แต่ว่าทรงเปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณา เมื่อมีเหตุอะไรๆ เกิดขึ้น พระองค์จึงแย้มพระโอษฐ์

          ในเมื่อพระองค์ทรงแย้มพระโอษฐ์ คือยิ้มออกมาเท่านั้นแหละ พระอานนท์ก็รู้ทันที พระพุทธเจ้าข้า มีเหตุอะไรหรือพระองค์จึงทรงแย้มพระโอษฐ์  ดูกรอานนท์ อปุตตกเศรษฐีมาเกิดในครรภ์ของคนขอทานในที่นี้แล้ว ดูสินี่ เมื่อก่อนโน้นเขาเป็นอปุตตกเศรษฐี มีทรัพย์ถึง ๘๐ โกฏิ แต่เขาไม่ทำบุญทำทาน ตายแล้วจึงมาเกิดอยู่ในท้องคนขอทาน เกิดมาแล้วก็มีรูปร่างอัปลักษณ์ ไม่เหมือนกับคนทั้งหลายชาวบ้านเขา

          ขณะนั้นพระอานนท์จึงกราบทูลไปว่า พระพุทธเจ้าข้า เพราะเหตุไรเรื่องนี้จึงเป็นอย่างนี้ พระพุทธองค์ก็จึงทรงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อก่อนโน้น อปุตตกเศรษฐีนี้ สาเหตุที่เขาได้เป็นเศรษฐี หรือเกิดในตระกูลเศรษฐีนั้น ก็เพราะว่าเขาได้ทำบุญทำทานไว้ในชาติปางก่อน แต่ที่เขาไม่มีบุตรนั้น เพราะว่าเขาได้ฆ่าบุตรของพี่ชายของเขา แล้วพระองค์ก็ทรงนำเอาอดีตนิทานแต่ปางก่อนโน้นมาเล่าสู่พระภิกษุทั้งหลายฟังว่า

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในอดีตกาลล่วงมานานแล้ว เมื่อครั้งพระโพธิสัตว์ยังบำเพ็ญบารมีอยู่ ได้เกิดในตระกูลเศรษฐี มีน้องชายคนหนึ่ง น้องชายนั้นก็คืออปุตตกเศรษฐีคนนี้แหละ และเศรษฐีนั้นก็มีทรัพย์ถึง ๘๐ โกฏิ เมื่อจำเนียรกาลล่วงมา บิดามารดาตาย ทรัพย์สมบัติทั้งหลายก็ตกเป็นมรดกของพี่ชายและน้องชาย สำหรับพระโพธิสัตว์เจ้าผู้เป็นพี่ชายก็แบ่งมรดกนั้นออกเป็น ๒ ส่วน ส่วนหนึ่งก็ให้น้องชาย ส่วนหนึ่งก็เป็นของตัวเอง

          ครั้นจำเนียรกาลนานมา พระโพธิสัตว์เจ้าแต่งงานแล้วก็ได้บุตรชายคนหนึ่ง เมื่อได้บุตรชายแล้ว อยู่มาวันหนึ่งก็มาพิจารณาเห็นว่า การอยู่ครองฆราวาสนี้ เต็มไปด้วยโทษทุกข์ มีความคับแค้นมาก เกิดความเบื่อหน่ายในการครองฆราวาส เห็นว่าการบรรพชานี้มีช่องว่างพอมีทางที่จะแสวงหาบุญกุศลให้ภิญโญยิ่งๆ ขึ้นไป เมื่อคิดได้อย่างนี้แล้ว จิตใจก็น้อมไปในการบรรพชา

          จึงได้เรียกน้องชายนั้นมาว่า ดูกรน้องที่รักของพี่ สำหรับทรัพย์สมบัติทั้งหมด พร้อมทั้งบุตรชายและภรรยาของพี่นี้ พี่ขอมอบให้แก่เธอ คือมอบให้ทั้งภรรยาด้วย มอบให้ทั้งบุตรด้วย และก็มอบให้ทรัพย์สมบัติด้วย แต่สำหรับพี่นั้นจะขอลาบวช เสร็จแล้วก็ออกไปบวชเป็นฤๅษีดาบสอยู่ในป่าหิมพานต์ เจริญพรหมวิหารจนได้ฌาน ได้อภิญญาโลกีย์ เหาะเหินเดินอากาศได้

          แต่สำหรับน้องชายที่อยู่ทางบ้าน เมื่อได้พี่สะใภ้มาเป็นภรรยาแล้ว ก็มีบุตรเกิดขึ้นมาอีกคนหนึ่ง เมื่อบุตรเกิดขึ้นมาแล้วก็มาคิดว่า เรามีบุตร ๒ คนแล้ว เป็นบุตรของพี่ชายคนหนึ่ง และก็เป็นบุตรของเราคนหนึ่ง ถ้าว่าบุตรของพี่ชายยังอยู่นี้ ทรัพย์สมบัติทั้งหลายทั้งปวงนั้น ก็จะต้องแบ่งออกเป็นสองส่วน เป็นของบุตรชายของพี่ชายนั้นส่วนหนึ่ง เป็นมรดกของบุตรเราส่วนหนึ่ง อย่ากระนั้นเลย เราฆ่าบุตรพี่ชายนั้นดีกว่า เราเหลือไว้แต่บุตรของเรา

          วันหนึ่ง ก็เลยชักชวนหลานชายนั้นลงไปท่าน้ำ เมื่อไปถึงท่าน้ำแล้วก็ชวนลงอาบน้ำ เมื่อลงอาบน้ำแล้วก็กดหลานชายนั้นให้จมน้ำตายไป เมื่อหลานตายไปแล้วก็กลับมาถึงบ้าน เล่าให้ภรรยาฟังว่า บุตรของท่านตายแล้ว สำหรับภรรยาผู้เป็นพี่สะใภ้นั้นก็ร้องห่มร้องไห้ มีความอาลัยอาวรณ์นึกถึงบุตรของตน

          ขณะนั้นก็ร้อนถึงพระโพธิสัตว์ซึ่งไปบำเพ็ญพรตเป็นฤๅษีอยู่ที่ป่าหิมพานต์ เพราะได้สำเร็จอภิญญาแล้วก็รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง จึงมาสู่บ้านน้องชายเพื่อจะแสดงโทษของกรรมทั้งปวงให้ปรากฏ เมื่อมาถึงบ้านน้องชายแล้ว ก็พักอยู่ที่บ้านของน้องชาย บรรดาญาติโยมทั้งหลายก็พากันเลื่อมใส พากันมาถวายจตุปัจจัยไทยธรรม

          เมื่อฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว ก็เรียกน้องชายเข้ามาใกล้ๆว่า ดูกรน้องชาย เรื่องหลานที่ตายไป หรือบุตรของเราที่ตายไปนั้น มันเป็นเพราะเหตุไร  สำหรับน้องชายก็เรียนว่า บุตรของท่านนั้นมันตกน้ำตาย ฤๅษีพี่ชายก็พูดขู่ทันทีว่า เจ้าทำบาปทำกรรมถึงขนาดนี้ยังจะมาโกหกพี่อยู่หรือ ความเป็นไปทั้งหมดนั้น พี่รู้หมดแล้วนะ

          ก็เธอเองเป็นผู้กดคอหลานชาย กดคอลูกชายของฉันให้จมน้ำตายไป ไฉนยังมีหน้ามาหาว่าเขาตกน้ำตาย เธอไม่รู้หรือว่าการฆ่าคนนี้ โทษของเธอที่ฆ่าคนที่มีชาติเสมอกันนี้ เมื่อตายไปแล้วต้องตกอเวจีมหานรก หมกไหม้อยู่ในนรกโน้น พ้นจากนรกแล้วจึงจะมาเกิดเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์ดิรัจฉาน เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในมหรรณพภพสงสาร ทนทุกข์ทรมานอยู่อีกนาน ไม่รู้จักจบจักสิ้น เพราะฉะนั้น ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เธออย่าได้ทำบาปทำกรรมเช่นนี้อีกเลย

          เธอจงพยายามทำบุญทำทานเถิด สำหรับทรัพย์สมบัติทั้งหลายทั้งปวงนั้น จงนำออกมาใช้ให้มันเป็นประโยชน์ จงนำออกมาบำเพ็ญบุญบำเพ็ญกุศลจนกว่าเราจะจากโลกนี้ไป เพราะว่า ทรัพย์สมบัติทั้งหลายที่เธอมีอยู่นี้ เป็นของไม่มีแก่นสาร เป็นของกลางสำหรับโลก เรายังไม่เกิดขึ้นมา มันก็มีอยู่อย่างนี้ เมื่อเราเกิดขึ้นมาแล้ว เราก็ได้ใช้ได้สอยทรัพย์สมบัติทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าเรารู้จักใช้จักจ่าย มันก็เกิดประโยชน์โสตถิผลแก่เรา ถ้าเราไม่รู้จักใช้จักจ่าย ไม่รู้จักเอามาให้เกิดประโยชน์ มันก็ไม่เกิดประโยชน์ และทรัพย์สมบัตินี้มันก็ตกอยู่ในภัยทั้ง ๔ คือ

          ๑.    บางครั้งพระราชามายึดเอาสมบัติไปนี้ เธอจะห้ามได้หรือ

          ๒.    บางครั้งเกิดโจรภัย โจรมาฉกชิงวิ่งราว หรือมาจี้มาปล้นเอา เธอจะขัดขวางเขาได้หรือ

          ๓.    บางทีเกิดไฟไหม้ป่าบ้าง เกิดไฟไหม้บ้านบ้าง ไหม้ทรัพย์สมบัติทั้งหลายทั้งปวงนี้ให้ฉิบหายวายวอดไป เธอจะห้ามไฟได้หรือ

          ๔.    บางทีเกิดอุทกภัย น้ำท่วมทรัพย์ทั้งปวงเหล่านี้ เธอจะห้ามได้หรือ หรือบางทีเราขนเอาทรัพย์สมบัติทั้งปวงนี้ไปค้าในทางเรืออย่างนี้ เกิดเรือแตกเรืออับปาง เธอจะสามารถห้ามเรือของเราไม่ให้แตก เธอจะสามารถห้ามทรัพย์สมบัติทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ไม่ให้มันจมไปในน้ำได้หรือ

          เมื่อน้องชายจำนนต่อเหตุผล จึงกล่าวต่ออีกว่า ดูกรน้องที่รักของพี่ นอกจากทรัพย์สมบัติทั้งหลายทั้งปวงมันจะเป็นของไม่มีแก่นสาร จะต้องอันตรธานไปด้วยภัยทั้ง ๔ คือ ราชภัย โจรภัย อัคคีภัย และอุทกภัยแล้ว แม้แต่ร่างกายของเราก็ไม่เป็นแก่นสารเหมือนกัน เพราะว่าอัตภาพร่างกายนี้ เป็นเหมือนกับของที่ยืมเขามาใช้ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น เหมือนกับของที่ยืมเขามาบำเพ็ญประโยชน์บำเพ็ญกุศล แต่เมื่อเรายืมเขามาแล้วกลับไม่รู้จักใช้ร่างกายให้เป็นประโยชน์ก็ไม่เป็นประโยชน์สำหรับเรา ไม่กี่วันเราก็ต้องส่งคืนเขาไป คือร่างกายทั้งปวงนี้ก็จะเปื่อยเน่าทับถมลงไปในพื้นแผ่นดินซึ่งเป็นเจ้าของเดิมของเขา

          เพราะฉะนั้น ร่างนี้มันก็มีภัยเหมือนกัน อะไรเป็นภัยของร่างกาย คือ

          ๑.    ชาติภัย คือความเกิด การเกิดบ่อยๆ นี้ก็เป็นทุกข์เหลือทน ญาติโยมทั้งหลาย ท่านทั้งหลายที่เคยเห็นการเกิดแล้วก็คงนึกได้ว่า การเกิดนี้มันเป็นทุกข์มากน้อยแค่ไหนเพียงไร แม่ก็เป็นทุกข์ สำหรับทารกที่จะเกิดก็เป็นทุกข์ นึกดูสิว่าเรามาถือปฏิสนธิในครรภ์มารดานั้น ๙ เดือน ๑๐ เดือนนั้น มันเป็นทุกข์ทรมานมากน้อยแค่ไหนเพียงไร เพราะฉะนั้น การเกิดนี้ก็เป็นภัย

          ๒.    ชราภัย ความแก่ก็เป็นภัย เพราะว่าคนเราเมื่อแก่ขึ้นมาแล้ว กำลังวังชาก็หมดไป สติปัญญาก็เสื่อมไป การงานทุกอย่างที่เราเคยทำด้วยเรี่ยวแรงกำลังของเราก็เสื่อมไป ความแก่นี้ก็ถือว่าเป็นภัยของเราเหมือนกัน

          ๓.    พยาธิภัย ความเจ็บก็เป็นภัย เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วก็มีแก่ มีแก่แล้วก็มีเจ็บ ความเจ็บนี้แหละก็ถือว่าเป็นภัยอันน่ากลัวเหมือนกัน เรามีอะไรมันเจ็บอันนั้น เรามีตามันเจ็บตา มีหูมันเจ็บหู มีหัวมันเจ็บหัว มันปวดศีรษะ มีปากเจ็บปาก มีจมูกเจ็บจมูก มีแขนมีขาเจ็บแขนเจ็บขา มีตับ มีไต มีกระเพาะอาหาร มีดี มีไส้ใหญ่ไส้น้อย มันเจ็บทั้งนั้น เพราะฉะนั้น ความเจ็บนี้ก็ถือว่าเป็นภัยของร่างกาย

          ๔.    มรณภัย ความตายก็ถือว่าเป็นภัย เป็นภัยอันยิ่งใหญ่ไพศาล เพราะว่าความตายนี้ไม่ไว้ชีวิตแก่ใครผู้ใดผู้หนึ่ง เพราะว่ามฤตยูราชนี้เป็นผู้มีอำนาจกล้า มีเสนาใหญ่ อันความตายนี้ เราจะไปหลีกลี้หนีความตายอยู่ที่ไหนก็ไม่ได้ เราจะไปจมอยู่ในน้ำ ไปอยู่ในถ้ำ หรือจะเหาะเหินเดินอากาศอยู่ก็ตาม หรือจะมาบวชเป็นพระเป็นเณร เป็นปะขาวแม่ชี เพื่อจะหนีความตายนั้น หนีไม่ได้ แม้แต่องค์สมเด็จพระจอมไตรศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราก็ยังนิพพาน เหตุนั้น ความเกิด แก่ เจ็บ ตายนี้ จึงถือว่าเป็นภัยของชีวิต

          เมื่อพระโพธิสัตว์ให้โอวาทแก่น้องชายเช่นนี้แล้วก็ให้โอวาทต่อไปว่า เพราะฉะนั้น ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เธอจงเป็นผู้ไม่ประมาทเถิด พยายามทำบุญทำทานไป อย่าได้ประมาท พยายามให้ทาน รักษาศีล ไหว้พระ ทำวัตร สวดมนต์ ฟังเทศน์ เจริญสมถภาวนา เจริญวิปัสสนาภาวนา เพื่อให้เห็นร่างกาย รูป นาม ขันธ์ ๕ นี้ เป็นอนิจจัง ไม่เที่ยงต้องดับไป เป็นทุกขัง ทนอยู่ไม่ได้ต้องดับไป เป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ต้องดับไป

          อย่าได้เป็นคนประมาท อย่ามัวคิดว่าทรัพย์สมบัติ สามี ภรรยา เรือกสวนไร่นาทั้งหมดนี้เป็นของเรา ให้ถือว่าอันนี้เป็นของกลางสำหรับโลก วันหนึ่งเราก็จะจากไป เรามาเกิดนี้ เรามาด้วยบุญบาปของเรา เราจะตายจากโลกนี้ไป เราก็อาศัยแต่บุญบาปเท่านั้นไป

          สำหรับพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย สามี ภรรยา ถึงจะมีความรักความหวงแหนสักเท่าใด ก็ไม่มีใครที่จะป้องกันเราได้เลย พ่อแม่แสนที่จะรักก็จะต้องจากไป ลูกๆ หลานๆ แสนที่จะรักจะหวงแหนก็ต้องจากไป สามีภรรยาแสนที่จะห่วง แสนที่จะหวงแหน แสนที่รักก็จะจากไป ฉะนั้น เธออย่าเป็นผู้ประมาท พยายามสั่งสมคุณงามความดีต่อไปเถิด

          เมื่อฤๅษีดาบสพระโพธิสัตว์เจ้าให้โอวาทแก่น้องชายแล้ว ก็กลับไปสู่ป่าหิมพานต์ตามเดิม ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา เศรษฐีนั้นก็ตั้งอกตั้งใจบำเพ็ญทาน คือตั้งโรงทานไว้ที่หน้าบ้านของตน แล้วก็ให้ทานตลอดเรื่อยๆ มาจนหมดอายุขัย ก็อานิสงส์ที่เขาได้ทำบุญทำทานนั้นแหละ เมื่อเขาเกิดขึ้นมาในชาตินี้ เขาจึงได้เป็นเศรษฐีมีทรัพย์ถึง ๘๐ โกฏิ

          เพราะฉะนั้น ญาติโยมทั้งหลาย หลวงพ่อเคยสอนอยู่เสมอๆ ว่า คนเราเกิดขึ้นมาแล้วอย่าตระหนี่ มีทรัพย์สมบัติพอที่ทำบุญทำทาน ก็จงทำบุญทำทาน การทำบุญทำทานนี้ อยู่ในโลกนี้มันก็ได้ประโยชน์ได้อานิสงส์ คือ

          ๑.    ปิโย จะเป็นที่รักใคร่นับถือของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย

          ๒.    ภโช ย่อมเป็นที่สมาคมคบหาของบุคคลทั้งหลายทั้งปวง และเทวดาทั้งหลายทั้งปวงย่อมรักษา

          ๓.    กิตฺติสทฺโท ชื่อเสียงอันดีงามย่อมฟุ้งขจรไปในทิศานุทิศ

          ๔.    วิสารโท ย่อมเป็นผู้มีความองอาจกล้าหาญแกล้วกล้า ไม่สะทกสะท้านในเวลาเข้าสมาคมบริษัท

          ๕.    สุคติ เวลาจะตายนั้น ย่อมเป็นผู้ที่มีสติสัมปชัญญะ ไม่หลงตาย คือเวลาจะตายนั้น ก็นึกถึงบุญถึงกุศลของตนได้อยู่ เมื่อตายแล้วไปเกิดภพใหม่ชาติใหม่ ก็จะเป็นคนร่ำรวยมั่งมีศรีสุข เพียบพูนสมบูรณ์ไปด้วยทรัพย์สมบัติศฤงคารบริวารนานาประการ ไม่อดไม่อยาก

          เหตุนั้น เศรษฐีที่เขาทำบุญทำทานไว้แล้วแต่ในชาติปางก่อน เมื่อมาเกิดในชาติศาสนาของพระพุทธเจ้าของเรานี้ เขาจึงได้เป็นเศรษฐีมีทรัพย์ถึง ๘๐ โกฏิ เมื่อเขาเกิดขึ้นมาแล้ว ทุกชาติๆ นั้น รวม ๖ ชาติ ไม่เคยมีบุตรเลย ๖ ชาติถัดๆ กันมานี้ ไม่เคยมีบุตรเลย เพราะเหตุไร เพราะโทษที่ฆ่าหลานชายที่เป็นบุตรของพี่ชายตนในชาติปางก่อน เมื่อเกิดมาในชาติไหนๆ ก็ไม่มีบุตรกับเขา จนตลอดถึงชาติที่ ๗ นั้นก็ยังไม่มีบุตรอยู่ นี้ก็เป็นโทษเพราะการที่ฆ่าผู้อื่นและสัตว์อื่น เมื่อฆ่าแล้ว นอกจากจะไปตกนรกแล้ว เกิดขึ้นมาแล้วก็ยังไม่มีบุตร

          เพราะฉะนั้น วันนี้คณะญาติโยมทั้งหลาย เราจึงได้พร้อมเพรียงกันมาบำเพ็ญบุญบำเพ็ญกุศล เพื่อระลึกถึงญาติของเรา เพื่อเป็นการสงเคราะห์ญาติของเราที่อยู่ร่วมกันในภพนี้ชาตินี้ ให้มีความจงรักภักดี มีความสามัคคีพร้อมเพรียงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน นอกจากนั้นก็เป็นการสงเคราะห์ญาติของเราที่ล่วงลับวายชนม์ไปแล้วในปรโลกเบื้องหน้า เพื่อที่จะได้อนุโมทนาสาธุการในส่วนบุญส่วนกุศลที่เราได้สั่งสมอบรมมานี้

          เราทั้งหลายอย่าคิดว่า ญาติของเราตายไปแล้ว จะไปสู่สุคติโลกมนุษย์สวรรค์ หรือไปสู่พรหมโลก หรือจะไปสู่พระนิพพานได้ทั้งหมด บางทีญาติของเราอาจจะมีความชั่วช้าบางสิ่งบางอย่างซึ่งไม่เปิดเผยแก่เราให้เรารู้ก็ได้ เมื่อตายไปแล้วก็อาจจะไปตกนรก ไปเกิดเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์ดิรัจฉานไปก็ได้

          เพราะฉะนั้น วันนี้ซึ่งเป็นวันกตัญญู เป็นวันระลึกถึงญาติ เราก็มาทำบุญทำทาน กล่าวสังฆทาน เป็นการอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้แก่ญาติของเรา เมื่อญาติของเราได้รับได้อนุโมทนาแล้ว ก็จะหายจากความทุกข์ความเดือดร้อน ก็จะไปบังเกิดในภพใหม่ชาติใหม่ต่อไป เหมือนกันกับญาติของพระเจ้าพิมพิสาร ซึ่งเป็นเปรตอดอาหารมาถึง ๙๑ กัป นับตั้งแต่ภัทรกัปนี้ถอยหลังไป เพราะอะไรจึงเกิดเป็นเปรต เพราะการกินของสงฆ์นี้เอง

          ญาติโยมชาวบ้านเราทั้งหลาย ก็ขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า ในขณะที่เราทั้งหลายพากันทำงานปริวาสหรือทำบุญปริวาสกรรมนี้ ขอให้เรานั้นได้ตระหนัก เพราะว่า ของทุกสิ่งทุกอย่างที่ญาติโยมนำมาถวายไว้ในโรงครัวนั้น เขาไม่ได้นำมาไว้เฉยๆ เขากล่าวคำถวายสังฆทานเสียก่อนว่า สงฺฆสฺส โอโณชยาม คือหมายความว่า ของทุกสิ่งทุกอย่างนั้น ถวายเป็นสงฆ์

          เมื่อถวายเป็นสงฆ์แล้ว ทีนี้ พระรูปใดรูปหนึ่งเอาไปฉันโดยพลการก็ฉันไม่ได้ สามเณร ปะขาว แม่ชีผู้ใดผู้หนึ่งจะเอาไปฉันโดยพลการ ก็ฉันไม่ได้ โยมคนใดคนหนึ่งจะเอาไปรับประทานโดยพลการนั้นไม่ได้ ต้องทำถวายสงฆ์เสียก่อน เมื่อถวายสงฆ์ไปแล้ว เมื่อเหลือจากส่วนของสงฆ์นั้น เราจึงเอามารับประทานต่อไป จึงจะไม่เป็นบาป จึงจะไม่เป็นกรรมต่อไป

          สำหรับญาติของพระเจ้าพิมพิสารก็เหมือนกัน เมื่อก่อนโน้น เป็นเจ้าหน้าที่คลังหลวง คือพระญาติทั้งหลายที่เป็นเปรตนั้น เมื่อพระราชาไม่สามารถจะมาเลี้ยงพระเจ้าพระสงฆ์ได้ ก็มอบทรัพย์สมบัติทั้งหลายให้ผู้รักษาคลังของพระเจ้าแผ่นดินนั้น ให้นำทรัพย์สมบัติทั้งหลายเหล่านี้มาทำภัตตาหารเช้าเพลถวายแก่พระสงฆ์

          แต่เมื่อได้ทรัพย์แล้ว ไม่นำมาทำภัตตาหารถวายแก่พระสงฆ์ ไปใช้เสียอย่างอื่น นำไปใช้อย่างโน้นบ้าง นำไปใช้อย่างนี้บ้าง ผลสุดท้าย ตายไปแล้วก็ไปเกิดเป็นเปรต อดอาหารอยู่ถึง ๙๑ กัป

          เมื่อถึงศาสนาของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานี้ เวลาพระเจ้าพิมพิสารทำบุญทำทานนั้น พระองค์ไม่ได้ทรงอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลไปให้ เปรตทั้งหลายนั้นก็มาส่งเสียงร้องให้พิลึกสะพรึงกลัว หนังหัวพองสยองเกล้า น่ากลัว น่าขยาด น่าเกรงขาม พระเจ้าพิมพิสารจึงเข้าไปกราบทูลองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธองค์จึงทรงแสดงให้ฟัง เสร็จแล้วพระเจ้าพิมพิสารก็ทำบุญสุนทาน อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลเป็นสังฆทานไปให้ เมื่อเปรตทั้งหลายได้อนุโมทนาแล้ว ก็ได้รับอาหารอิ่มหนำสำราญ ได้เครื่องนุ่งห่มอันเป็นทิพย์ ก็ไปบังเกิดในเทวโลกหายจากบาปจากอกุศลนั้น

          และการทำบุญทำทานที่พวกเราทั้งหลายทำกันนี้ แยกออกเป็น๒ ประเภท คือเราทั้งหลายส่วนมากก็มีห่อข้าวน้อยมาวางไว้ตามโบสถ์ ตามวิหาร ตามกำแพงวัด อันนี้ก็ได้เหมือนกัน แต่มันได้จำพวกหนึ่ง พวกนี้เขาเรียกว่าอมนุษย์ หลวงพ่อจะขอเลยออกนอกเรื่องสักหน่อย พวกอมนุษย์นี้ คือเป็นเปรตจำพวกหนึ่งเหมือนกัน เปรตจำพวกนี้อาศัยอยู่ตามวัดตามวาเสียเป็นส่วนมาก อยู่ในวัดของเราก็มีเยอะเหมือนกัน

          หลวงพ่อขอยกเรื่องที่เคยประพฤติปฏิบัติมาสาธกให้เห็นง่ายๆ แต่อย่าได้เข้าใจว่า หลวงพ่ออวดอุตตริมนุสสธรรมนะ คือบางครั้ง เวลานั่งสมาธิไปๆ มีเสียงใครมาขออะไรกินด้วยกันว่า ขอกินด้วยๆ อยู่ข้างโบสถ์ อยู่ข้างวัดของเรานี่แหละ หลวงพ่อนั่งสมาธิหลับตาอยู่ ก็มองไป เอ๊ะ มันเด็กที่ไหนมันมาขอกินอะไรด้วยกันนี้

          บางครั้งก็มองไปว่า โอ้ มันมีเนื้อมาแต่ที่ไหนหนอ ได้เนื้อแต่ที่ไหนมาแบ่งกันกิน เรามองไปๆ โอ้ อันนี้ไม่ใช่เนื้อสัตว์ เป็นเนื้อมนุษย์ ถ้าเรารู้ดังนี้ว่ามันเป็นเนื้อมนุษย์ ตื่นขึ้นมา ก็หมายถึงว่าคนโน้นตายแล้ว  เจ้าของเนื้อน่ะตายแล้ว คือคนตายไปมันก็เอาเนื้อมากิน แต่บางครั้งมันไปเอาเนื้อวัวเนื้อควายมาแบ่งกันกิน ถ้าว่าเราเห็นว่าเป็นเนื้อวัวเนื้อควายนั้น เราก็รู้ว่า ชาวบ้านของเราพากันฆ่าวัวฆ่าควายแล้ว นี่มันเป็นอย่างนี้

          ทีนี้ถ้าเราเอา ห่อข้าวน้อย นี้แหละมาวางตามโบสถ์ ตามวิหาร ตามสถานที่ต่างๆ ภายในวัด ก็พวกนี้แหละได้กิน แต่ญาติของเราไม่ได้กินหรอก แต่พวกนี้ได้กิน เขาได้กิน ก็ถือว่าเป็นบุญเป็นอานิสงส์เหมือนกัน ไม่ได้เป็นบาป ถือว่าเป็นบุญเหมือนกัน นี่พวกนี้ได้กิน เราอย่าหาว่าไม่ได้กิน แต่ว่าเรื่องนี้มันพูดกันยาก เพราะว่ามันเป็นเรื่องภายใน เป็นเรื่องกายทิพย์

          หลวงพ่อขอยกเรื่องโยมคนหนึ่ง ที่อยู่ข้างบ้านของเรานี้แหละ เมื่อก่อนโน้นเขาเป็นคนไม่มีศรัทธา ไม่เลื่อมใสในวัด ทั้งๆ ที่มีทรัพย์มากนะ ได้ข้าวปีหนึ่งเป็นพันสองพัน มีเงินทองจ่ายเหลือเฟือ แต่ว่าไม่มีศรัทธา ไม่เลื่อมใสในพระศาสนา

          อยู่มาปีหนึ่ง เขาป่วยเป็นโรคมะเร็งในมดลูก เมื่อเป็นโรคมะเร็งในมดลูก มันรักษาไม่หาย มันก็เน่าไปๆ ทุกวัน ก็มีกลิ่น กลิ่นนั้นก็เหม็นคาวฟุ้งไปทั้งบ้าน บ้านอยู่ใกล้ๆ กัน ขนาดสองสามหลังคาบ้านนี้ ก็ยังถูกกลิ่นเหม็นๆ นั้น บรรดาสามีและลูกๆ หลานๆ ก็เมินเฉย ไม่เอาใจใส่ เขาก็สะบักสะบอม นอนติดเสื่อติดหมอนอยู่นั่นหละ คือหมายความว่าเป็นคนครึ่งคนครึ่งผี

          เวลามีคนจะตายในบ้านอีเติ่ง บ้านหัวนา บ้านห้วยยาง บ้านม่วงเฒ่า บ้านตาแหลว หรือบ้านด่านหม่วน แถวๆนี้แหละ แกรู้ทุกคน เมื่อแกตื่นเช้าขึ้นมา แกพูดกับลูกกับหลานว่า โอ้ วันนี้ คนโน้นตายแล้วเด้อ คนนั้นจะตาย คนนี้จะตาย แล้วก็ตายทุกคน

          เพราะเหตุไรจึงเป็นอย่างนี้ เพราะว่าตอนกลางคืนนั้น มันจะมีพวกอมนุษย์พวกนี้แหละมาชวนว่า วันนี้ไปเอาเนื้อที่โน้นเถอะ วันนี้ไปเอาเนื้อที่นี้เถอะ ถ้าเขามาชวนแกก็ไปกับเขา เมื่อไปแล้วก็เห็นเขาเอาเนื้อ แกก็สังเกตว่า เอ๊ะ มันจะเนื้อที่ไหน มันก็เป็นคนนี่เอง มันเป็นนายสี มันเป็นนางมี มันเป็นนางลำดวนต่างหาก ไม่ใช่เนื้อที่ไหน แกก็ไม่เอากับเขา แต่ก็ไปกับเขา มากับเขา ตื่นขึ้นมา คนนั้นก็ตายทุกคน นี้มันเป็นอย่างนี้

          หลังจากนั้นมา วันหนึ่งแกสลบไป สลบไปเป็นเวลานาน จนข้ามคืนข้ามวันนั่นแหละ ญาติโกโหติกาทั้งหลายก็พากันหาไม้มาทำหีบ แต่ในขณะที่ยังไม่ได้ใส่โลงนั่นหละ แกก็ฟื้นขึ้นมา เมื่อแกฟื้นขึ้นมาแล้ว แกก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังว่า โอ้ เมื่อฉันสลบไปเมื่อตะกี้นี้ ที่จริงฉันไปนรก เขามาเอาฉันไปนรก นายนิรยบาลนั้นมาเอาไปนรกเมื่อเขาเอาไปนรก เขาบอกว่าจับตัวมาผิด เขาก็เลยมาส่ง

          แต่ตอนไปนรกนั้น ฉันได้ไปดูนรกหลายๆ ขุม โอ้ พวกฆ่าสัตว์ตัดชีวิตตายไปตกนรก ทนทุกข์ทรมาน ต้องมีหอกอันเป็นทิพย์ มีความร้อนโชน เขามาทิ่มมาแทง มีกามีแร้งมาจิกมาตอด อะไรนานาประการ ที่ท่านกล่าวไว้ในตำรา ที่เราเคยฟังเทศน์ฟังธรรมนั้น ไม่ผิดกันเลย แล้วก็สำหรับผู้ตกนรกนั้น เมื่อก่อนโน้นฉันคิดว่าจะตกนรกก็เฉพาะชาวบ้านเท่านั้น เฉพาะญาติเฉพาะโยมเฉพาะคฤหัสถ์เท่านั้น ที่ไหนได้ พระเณรก็ตกนรกเหมือนกัน

          แกว่าอย่างนี้ แล้วสังฆาฏิ สบง จีวรนั้น เขาเอาไปกองพะเนินกันจนสูงเท่าปลายต้นมะพร้าวปลายตาล พระเณรทั้งหลายนั้นต้องลอยแหวกว่ายอยู่ในนรก ได้รับความทนทุกข์ทรมาน แต่ฉันก็ไม่สามารถที่ทนดูต่อไปได้ ก็จึงขอกลับบ้าน เขาก็มาส่ง ฉันจึงฟื้นขึ้นมานี้

          เมื่อแกฟื้นขึ้นมาแล้ว ญาติโยมทั้งหลาย ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา แกเป็นผู้เปี่ยมไปด้วยศรัทธาปสาทะอันแรงกล้า ทำบุญทำทานไม่รู้จักหมดไม่รู้จักสิ้น สร้างภาพพระเวส สร้างผ้าป่า สร้างมหากฐิน หลวงพ่อนี้ยังได้รับกฐินของเขาด้วย ปีนั้น โยมคนนั้นทำบุญกฐิน ไม่มีใครรับกฐินของแก อาตมาก็เลยได้รับผ้ากฐิน เป็นองค์ที่กรานกฐินให้แกด้วยในปีนั้น อันนี้พูดกันเรื่องปัจจุบัน เราเอาห่อข้าวน้อยมาวางก็พวกนี้ได้รับ

          ทีนี้เรื่องนี้ก็มีพระพุทธพจน์ที่ทรงตรัสไว้เป็นหลักฐานยืนยันเหมือนกัน อยู่ในเรื่องการเจริญอสุภกัมมัฏฐาน เวลาพระจะไปเจริญอสุภกัมมัฏฐานนั้น พระองค์ทรงตรัสว่า เราอย่าไปข้างทิศเหนือ เพราะอมนุษย์ที่สิงอยู่ในศพนั้นจะโกรธ เราให้เลี่ยงๆ ไปในทิศใดทิศหนึ่งที่ไม่มีกลิ่นอสุภะรบกวน คือไม่มีกลิ่นศพนั้นรบกวน เราจึงเจริญอสุภกัมมัฏฐานต่อไป นี่ก็หมายถึงอมนุษย์พวกนี้แหละ พวกที่กินซากกินศพนี้แหละ

          สำหรับเรื่องนี้ ก็ขอจบไว้เพียงแค่นี้ ทีนี้หันมาเรื่องญาติของเราบ้าง เมื่อตายไปแล้ว หากว่าเป็นพวกปรทัตตูปชีวีสัตว์ คือหมายความว่า พวกไปเกิดเป็นพวกปรทัตตูปชีวีสัตว์นี้ เป็นสัตว์หรือเป็นอมนุษย์ที่มีชีวิตเนื่องอยู่ด้วยญาติ ถ้าว่าญาติมิตรไม่ทำบุญทำทานไปให้ พวกนี้ก็ไม่ได้รับ ต้องได้รับความทนทุกข์ทรมานอยู่ร่ำไป

          เมื่อเราทั้งหลายทำบุญอุทิศไปให้แล้ว พวกนี้ก็ได้รับ เมื่อรับแล้วก็อนุโมทนา เมื่ออนุโมทนาแล้วก็พ้นจากความทุกข์ทรมานทรกรรมมา ก็ไปบังเกิดในสุคติโลกมนุษย์สวรรค์ ตามบุญญาธิการที่ตนได้สั่งสมอบรมไว้แต่เมื่อก่อน และด้วยบุญญาธิการที่ญาติมิตรอุทิศไปให้ด้วย เหตุนั้น วันนี้พวกเราทั้งหลายจึงได้มารวมกันทำบุญ เพื่อเป็นการแสดงกตัญญูกตเวทิตาธรรม นึกถึงญาติของเราทั้งหลายที่ล่วงลับดับขันธ์ไปแล้ว จึงมาทำบุญทำกุศลแล้วอุทิศไปให้

          เอาละ เท่าที่หลวงพ่อได้บรรยายมา ก็เห็นว่าพอสมควรแก่เวลา จึงขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้.


[1] มงคลสูตร (ขุ. ขุทฺทกปาฐ-ธมฺมปทคาถา  ๒๕ / ๓๑๘ / ๓๗๖-๗)

[2] ขุททกนิกาย คาถาธัมมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ หน้าที่ ๓๒๙