กวนข้าวทิพย์
โดย พระราชปริยัตยากร (บุญเรือง สารโท)
———————
ท่านครูบาอาจารย์ทั้งหลาย…
เมื่อต้องการอยากให้ข้าวนั้นเป็นของดีมีคุณภาพ เราจึงประกอบพิธีขึ้นมา นิมนต์พระสงฆ์มาร้อยกว่ารูปมาเจริญพระพุทธมนต์ ก็เพื่อต้องการอยากได้ของที่ดี อยากได้แต่พี่น้องที่เป็นคนดี อยากได้อุบาสกอุบาสิกาที่ดี ที่มีคุณภาพ คือมีศีล ๘ ประการ
เมื่อเราทั้งหลายต่างก็ดีกันทุกคน ญาติโยม อุบาสก อุบาสิกา ก็มีศีล ๘ ประการ นี่ก็ถือว่าเป็นคนดีทุกคน พระสงฆ์องค์เณรก็มีศีลบริสุทธิ์ เพราะปลงอาบัติ สัพพา ตา… สมาทานศีล ก็ถือว่าเป็นพระเป็นเณรที่ดีแล้ว ญาติโยมทั้งหลายก็มาไหว้พระ ทำวัตร สวดมนต์ แล้วก็สมาทานศีล ๘ ประการ ก็ล้วนแต่เป็นคนดีทั้งนั้น ไม่มีคนผู้ใดผู้หนึ่งเลยที่เป็นคนไม่ดี
พวกเราทั้งหลายดีกันทุกคน พระสงฆ์องค์เณร ปะขาวแม่ชีก็ดี อุบาสกอุบาสิกาก็ดี ล้วนแต่เป็นคนดีกันทุกคน เมื่อต่างคนต่างก็ต้องการอะไรที่ดีๆเหมือนกัน ดังนั้น เราก็พร้อมเพรียงกันประกอบยัญวิธีกวนข้าวทิพย์
ข้าวทิพย์ที่มากวนนั้นก็เป็นของดี พวกน้ำตาล น้ำอ้อย หรือข้าวเม่า ข้าวอะไรๆ ทุกสิ่งทุกอย่างที่หามา ล้วนแต่หาของดีๆมา ได้มาด้วยความบริสุทธิ์ ไม่ได้ลักขโมยมา ได้มาด้วยความบริสุทธิ์ผุดผ่องทุกสิ่งทุกอย่าง
สรุปแล้วว่า ข้าวของอุปกรณ์ที่เอามากวนข้าวทิพย์นี้ ก็ล้วนเป็นของดีๆ ผู้ที่มากวนข้าวทิพย์ก็เป็นคนดี เหตุนั้น ข้าวทิพย์ก็จะเป็นของดีไปด้วย พวกเราทั้งหลายมีแต่คนดีๆ เมื่อคนดีๆทำของอะไรๆ มันก็เป็นของดี
ที่หลวงพ่อกล่าวก่อนกวนข้าวทิพย์ทุกปีๆว่า พิธีกรรมที่จะทำ เราใช้สมาธิเป็นเกณฑ์ นอกจากมีศีลเป็นพื้นฐานแล้วก็ต้องมีสมาธิเป็นเกณฑ์ คือเราทั้งหลายทำพิธีกรรมเจริญพระพุทธมนต์ สวดพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ สวดธัมมจักกัปปวัตตนสูตร
ก็ในขณะที่สวด บางท่านก็นั่งสมาธิทำจิตใจให้สงบ บางท่านก็สวดพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ ทำจิตใจให้สงบ ตกลงผู้สวดก็เป็นผู้มีจิตใจสงบ ผู้นั่งสมาธิก็มีใจสงบ เมื่อต่างท่านต่างมีสมาธิแล้ว สมาธินั้นก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยยกฐานะจิตใจของเราให้ดีขึ้น
บางท่านที่เป็นผู้สวด อาจจะได้สมาธิในขั้นบริกรรมสมาธิ อุปจารสมาธิ หรือบางท่านจิตใจแน่วแน่เป็นอัปปนาสมาธิ สำหรับผู้ที่นั่งสมาธิ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ คือได้สมาธิเป็นสมาธิขั้นสูง เป็นอุปจารสมาธิ เป็นอัปปนาสมาธิ สมาธินั้นก็ทำพิธีกรรมให้พิเศษขึ้นมา คือเป็นพิธีกรรมที่เสกจิตเสกใจของเรา ให้เป็นจิตใจที่หนักแน่นมั่นคง เป็นสมาธิ เป็นฌาน
เมื่อจิตใจของเราเป็นสมาธิเป็นฌานแล้ว จิตใจนั้นก็ก้าวล่วงจากปุถุชนคนธรรมดา แล้วจิตใจนั้นก็เป็นพรหมขึ้นมา หมายความว่า ในขณะที่เราสวดพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณอยู่นี้ จิตใจของเรามันก้าวพ้นจากความเป็นคนธรรมดามาเป็นมนุษย์ ออกจากมนุษย์แล้วก็มาเป็นพรหม
เพราะเหตุไร
เพราะว่าจิตใจของเราเป็นพรหม จิตใจที่เป็นสมาธิก็คือจิตใจที่เป็นพรหม นั่นมันสูงขึ้นมาแล้ว จิตใจของเราเป็นพรหมแล้ว แม้ร่างกายของเราเป็นมนุษย์ แต่จิตใจเป็นพรหมแล้ว
เมื่อจิตใจเป็นพรหมแล้ว จิตใจของเรามันสูงขึ้นๆไปตามลำดับๆ จนเห็นพระไตรลักษณ์ คืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตา (เมื่อนั้น) จิตใจดวงนี้ก็พ้นจากความเป็นมนุษย์ พ้นจากความเป็นพรหม แล้วก็เข้าถึงความเป็นอริยะ อาจจะเป็นพระโสดาบัน หรือสกทาคามี แล้วแต่บุญวาสนาบารมีของเรา
เมื่อเราทั้งหลายมาทำพิธีกวนข้าวทิพย์ในวันนี้ ก็คือเรามาทำจิตทำใจของเรานั้นให้เป็นทิพย์ ให้เป็นพรหม ให้เป็นพระอริยะ ถือว่าฐานะความเป็นอยู่ของเราสูงขึ้น
สำหรับข้าวทิพย์ที่เรากวนเราประกอบกันอยู่ในขณะนี้ เป็นของที่ดี เป็นของที่เลิศ เป็นของที่ประเสริฐ สิ่งเหล่านี้ ถ้าเราไม่คิดให้ลึกซึ้ง เราก็จะคิดว่ามันก็เป็นของธรรมดา แต่ถ้าเราคิดให้ซึ้งๆ ก็ถือว่าเป็นบุญเป็นกุศล………