ปฏิสังขาญาณ

ปฏิสังขาญาณ

โดย พระราชปริยัตยากร (บุญเรือง สารโท)

———————

       หลวงพ่อจะได้น้อมนำเอาธรรมะ เรื่อง ปฏิสังขาญาณ มาบรรยายถวายความรู้แด่ท่านครูบาอาจารย์ หลวงปู่ หลวงตา ลูกพระ ลูกเณร ลูกชีทั้งหลาย พอสมควรแก่เวลา

       ปฏิสังขาญาณ ปัญญาที่เข้มแข็ง ตั้งใจจริง ปฏิบัติจริง ยอมสู้ตาย มุ่งหวังจะเอาบรรลุมรรคผลพระนิพพานให้ได้

       คือญาณที่ ๙ เป็นญาณที่กลุ้มใจ ใจน้อย งอแง โกรธง่าย ภาษาบ้านเราว่า เจ็บใจง่าย ทำอะไรนิดอะไรหน่อยก็มีแต่งอแงอยู่ตลอดเวลา มีแต่จับผิด อะไรก็จับผิดๆ ครูบาอาจารย์พูดอะไรก็จับผิด ครูบาอาจารย์เคลื่อนไหวร่างกายหน่อยก็จับผิด ครูบาอาจารย์พูดกับญาติกับโยมก็จับผิด อะไรๆ ก็มีแต่จับผิด สรุปแล้วว่าเป็นญาณใจน้อย ญาณกลุ้มใจ เป็นญาณที่จับผิดคนอื่นอยู่ตลอดเวลา

       สำหรับปฏิสังขาญาณนี้ไม่เป็นอย่างนั้น ปฏิสังขาญาณนี้จิตใจจะเข้มแข็ง ตั้งใจจริง ปฏิบัติจริง ยอมสู้ตาย มุ่งหวังจะเอาบรรลุมรรคผลพระนิพพานให้ได้ บางทีเวลาปฏิบัตินี้ การปฏิบัติของตนไม่สมใจ อยากได้เดี๋ยวนี้ๆ บางทีก็ยืนขาเดียว ขาหนึ่งเหยียบไว้ที่เข่า ข้างหนึ่งก็เอาเชือกหรือเอาด้ายมัดหัวแม่มือรวมกันแล้วก็เอาผูกขื่อกุฏิไว้อย่างนี้ก็มี

       มีพระรูปหนึ่งมาปฏิบัติอยู่นี้ เมื่อถึงนี้แล้วใจฮึดใจสู้ขึ้นมา วันนั้นไม่ยอมเดินจงกรมตั้งใจทำวัตรเย็นเสร็จแล้วก็ยืนขาเดียว แล้วก็เอาเชือกผูกหัวแม่มือทั้งสองรวมกัน แล้วก็อีกข้างหนึ่งก็ผูกที่แปรไว้ เป็นเวลาตั้ง ๒ ชั่วโมง เมื่อปฏิบัติมาถึงนี้ครูบาอาจารย์สบายใจแล้ว ถึงอย่างไรๆ ก็จะไม่งอแงเหมือนเมื่อก่อน มีแต่สู้กับสู้ มันอยู่ในลักษณะอย่างนี้

       บางทีนั่งตากแดดเป็นชั่วโมงหรือหลายๆ ชั่วโมง บางทีก็นอนตากแดดเป็นเวลาหลายชั่วโมง บางทีก็นั่งตากฝน นอนตากฝน ก็เหมือนพวกเราทั้งหลาย ฝนตกพรำๆ แทนที่จะไปหลบไปซ่อนอยู่ในที่ดีๆ แต่ออกมายืนอยู่กลางฝน นอนอยู่กลางฝนไม่ยอมเข้าร่มอย่างนี้ก็มี บางทีก็เอากะละมังมา  นั่งอยู่ในกะละมัง บางทียืนอยู่ในห้วยนั้นจนน้ำมันถึงสะดือ หรือพ้นสะดือขึ้นมา อยู่อย่างนั้นแหละ ชั่วโมง สองชั่วโมงก็อยู่อย่างนั้น คือมีแต่จะเอาให้ได้ๆ มีแต่จะให้บรรลุๆ จิตใจมันเข้มแข็ง อย่างอื่นที่หลวงพ่อไม่ได้นำมาเล่า ถ้าเกิดขึ้นมาแล้วก็จะมีลักษณะเดียวกัน

       พระรูปหนึ่งมาปฏิบัติอยู่ที่นี้ มันคิดสู้ขึ้นมา หมายความว่ามันออกนอกเรื่อง สภาวะนี้เกิดขึ้นมาแล้วเอามีดผ่าผลไม้มากรีดแขน สามเณรวิ่งมาหาแล้วว่า “หลวงพ่อๆ เสร็จแล้วๆ” “เอ้า เสร็จอะไร” “เป็นแผลแล้ว” “อ้าว เป็นแผลก็เย็บสิ” “ไม่ได้ไปเย็บหลวงพ่อ เขาเย็บเอาเอง” “เย็บกี่แผลหละ” “๑๕ แผล” ถึงขนาดนั้นท่าน ใจดวงนี้มันเข้มแข็ง

       บางทีเราเดินทางไปพวกสุนัขตัวใหญ่ๆ สุนัขฝรั่งวิ่งแจ้นเข้ามาจะมากัด เฉย บางทีพวกหมาบ้า มันวิ่งมามันจะกัด หรือพวกควายถึกวัวถึกมันวิ่งมามันจะชน เฉย ไม่สนใจอะไร จิตใจมันจะเข้มแข็งหนักแน่นมั่นคง ยอมสู้ตาย เวลาพูดก็เหมือนกัน เวลามีการปาฐกอย่างนั้นปาฐกอย่างนี้ สามารถที่จะโต้คารมแบบสู้ตาย

       ลักษณะของญาณนี้

       ๑. บางทีเรานั่งกัมมัฏฐานอยู่ก็ดี นอนอยู่ก็ดี ยืนอยู่ก็ดี จะมีอาการเสียว แปลบๆๆ บนร่างกายของเรา เหมือนกันกับคนเอาเหล็กแหลมๆ เอาไม้แหลมๆ เอาเข็มแหลมๆ มาจี้ลงบนร่างกายเสียวแปลบๆๆ ขึ้นมา ภาษาอีสานว่า “เสี้ยนบ่ง” มันเหมือนเสี้ยนบ่ง เหมือนกับถูกเข็มมาทิ่ม ถูกไม้มาทิ่ม ถูกเหล็กแหลมๆ มาทิ่ม ท่านทั้งหลายสังเกตเวลาเดินกัมมัฏฐานจะเสียวแปลบๆๆ ตามร่างกาย เหมือนกับมีคนเอาเข็มมาทิ่มมาแทง บางทีก็เสียวแปลบๆ ขึ้นมาบนฝ่าเท้า บางทีก็เสียวแปลบๆ ขึ้นมาบนฝ่ามือ หลังมือ หน้ามือ เราก็ไม่รู้ว่ามันเป็นอะไรไป นึกว่าเป็นภูตผีปิศาจอย่างนี้ก็มี ถ้าลักษณะอย่างนี้เกิดขึ้นก็แสดงว่า การปฏิบัติของเราผ่านมาถึงปฏิสังขาญาณแล้ว บางทีมีอาการเสียวแปลบๆๆๆ ตามร่างกาย เหมือนกับมีคนเอาเลื่อยมาตัดตามร่างกายของเรา เสียวแปลบๆ ขึ้นมา บางทีเหมือนกับมีคนเอาเลื่อยมาตัดตามขาของเรา บางทีเหมือนกับคนเอาเลื่อยมาตัดตามแข้งของเรา บางทีเหมือนกับคนเอาเลื่อยมาตัดที่คอของเราเสียวแปลบๆๆ ขึ้นมา

       ๒. มีเวทนามาก เดินอยู่ก็ดี นั่งอยู่ก็ดี นอนอยู่ก็ดี มันเจ็บที่โน้นมันปวดที่นี้อะไรจิปาถะ แต่เวลาเรากำหนดมันหายเร็ว เรากำหนดเพียง ๒-๓ ครั้งก็หาย

       ๓. มีอาการซึมๆ ไม่อยากลืมตา เหมือนกันกับเราไปกินยาประสาท นั่งซึมๆ อยู่ตลอดเวลา แล้วเวลาเดินก็เดินซึมๆ อยู่ตลอดเวลา ไม่กระชุ่มกระชวย ไม่กระฉับกระเฉง ไม่กระปรี้กระเปร่า คล้ายๆ กับคนตื่นนอนใหม่ๆ นั่งซึมอยู่ตลอดเวลา เวลามีผู้มาพูดมาคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ก็เฉยๆ ซึมๆอยู่ เขาถามก็ไม่พูด เขาถามอย่างนั้นอย่างนี้ก็ไม่พูด บางทีผู้อยู่ใกล้ชิดก็ไม่กล้าถามไม่กล้าพูด เกิดความเกรงขึ้นมา

       ๔. ตัวแข็ง มือแข็ง แขนแข็ง เหมือนกันกับเข้าผลสมาบัติ แต่ใจยังรู้อยู่ หูยังได้ยินเสียงอยู่ มีอาการแข็งขึ้นมา บางคนก็เข้าใจว่าพวกภูตผีปิศาจมาสิง เข้ามาสิงในร่างกาย ส่วนมากจะคิดอย่างนี้เข้าใจอย่างนี้ แต่สภาวะอย่างนี้มันเกิดขึ้นมาแล้วทำให้มือแข็ง แขนแข็ง ตัวแข็ง คอแข็ง อยากกระดุกกระดิกก็กระดุกกระดิกไม่ได้ เหมือนกันกับเข้าผลสมาบัติ แต่ใจยังรู้อยู่ หูยังได้ยินเสียงอยู่

       ๕. บางทีมีอาการตึงๆ หนักๆ ตามร่างกาย เหมือนกันกับคนเอาเหล็ก แท่งเหล็กหนักๆ ท่อนไม้หนักๆ ก้อนดินหนักๆ มาทับลงบนร่างกาย เราอยากเงยขึ้นก็ไม่ได้ สมมุติว่ามันมาทับเราฟุบลงไป ตัวของเรามันฟุบลงไปอย่างนั้น เราอยากเงยขึ้นมาก็เงยขึ้นไม่ได้ มันเหมือนกับเราถูกของหนักๆ มาทับ บางทีอาการตึงๆ หนักๆ อย่างนี้ ไม่ใช่มันหายเร็วนะท่านทั้งหลาย บางที ๑ ชั่วโมงไม่ยอมหาย คือเรายังเงยขึ้นไม่ได้ บางที ๒ ชั่วโมงก็ยังไม่หาย บางที ๓ ชั่วโมงก็ยังไม่หาย

       ส่วนมากสภาวะอย่างนี้เกิดขึ้นมาผู้ปฏิบัติจะเข้าใจว่าถูกผีสิง คือมันมาเต็งที่ตัวของเรามาทับที่ตัวของเรา แต่มันดีหน่อยสภาวะอย่างนี้เกิดขึ้นมาแล้วสู้ ไม่กลัวเรื่องเปรต เรื่องผี เรื่องศัตรูทั้งหลายทั้งปวงจะมาทำร้ายนี่ไม่กลัวเลย เอาเลย มึงไม่ตายกูตาย กูไม่ตายมึงตาย ยอมสู้ตาย บางทีเวลาปฏิบัติไม่สมใจนึก ยืนขาเดียวเป็นชั่วโมงก็ยังไม่สมใจ บางทีนั่งเป็น ๒-๓ ชั่วโมงก็ยังไม่สมใจ ทำอย่างไรก็ไม่สมใจ อยากให้บรรลุเดี๋ยวนี้ๆ ก็ไม่สมใจ อยากได้ฌานได้สมาบัติเดี๋ยวนี้ก็ไม่สมใจ บางทีก็ตั้งปณิธานในจิตในใจของตัวเองเลยว่า อยากให้การปฏิบัติมันผ่านไปเร็วๆ สาธุข้าพเจ้าขออธิษฐานแผ่นดินทั้งแผ่นนี้ให้แข็งเหมือนเพชร เมื่อใดแผ่นดินทั้งแผ่นแข็งเหมือนเพชรไม่ละลายเป็นน้ำไปข้าพเจ้าจะไม่ลดละการปฏิบัติเป็นเด็ดขาด มันสู้ถึงขนาดนั้นนะท่านทั้งหลาย ไม่เหมือนญาณที่ ๙ ญาณที่ ๙ มีแต่งอแง โกรธง่าย ใจน้อย มีแต่จะไปกับจะไปเท่านั้น มีแต่จะเลิกกับเลิก

       ๖. มีอาการแน่นอึดอัดเหมือนใจจะขาด คือลักษณะอย่างนี้เรียกว่าพระไตรลักษณ์มันเกิดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง จะมีอาการเร็วๆ ของสภาวะท้องพองท้องยุบ หรืออาการสม่ำเสมอกำหนดได้ดีก็ดี ส่วนมากสภาวะที่ทำให้เกิดอาการอึดอัด มันจะเกิดขึ้นมาเอง อึดอัดเหมือนกับใจจะขาด เหมือนจะตายเดี๋ยวนี้ๆๆ นี้เป็นสภาวะอย่างหนึ่ง เกิดขึ้นตอนปฏิบัติส่วนมากสภาวะนี้เกิดขึ้นมา ถ้าอยู่ในญาณอื่นไม่ยอมปฏิบัติต่อไป ถ้าว่าญาณนี้ยอมตาย มันจะตายก็ตาย ดูไปเรื่อย

       ๗. ร้อนทั่วสรรพางค์กาย ร้อนเหมือนกับอังไฟ แต่บางทีลักษณะอาการร้อนมันเปลี่ยนแปลง มันเป็นอาการเย็นด้วย บางทีมันร้อน บางทีมันเย็น บางทีเราเดินจงกรมอยู่ เหมือนกันกับพวกภูตผีปิศาจมันลอยมาดันข้างหลังพรึบเข้ามาด้านหลังของเรา เย็นเหมือนกันกับใจจะขาด สะบั้นขึ้นมาในขณะนั้น สั่นตึกๆๆ ขึ้นมา แล้วในขณะที่มันเย็นๆ อยู่นั้นล่ะมันเย็นๆ เหมือนใจจะขาด

       บางทีเกิดความร้อนขึ้นมาหน้าอกเหมือนกับไฟเผา เหมือนกับอยู่บนกองไฟ ความร้อนมันจะไปเผาความเย็นให้หายไปๆๆ แล้วใจก็สบายขึ้นมาแล้วก็เดินจงกรม คิดว่า เออ ถ้าอาการอย่างนี้มันหายไปก็จะได้ดีใจ เดินจงกรมไปไม่ถึง ๗ ก้าวเย็นพรึบขึ้นมาด้านหลัง เหมือนกันกับเปรตกับผีมาทับที่ร่างกายของเรา มันเย็นเหมือนกันกับถูกน้ำแข็ง มันเย็นยิ่งกว่าอยู่ในห้องเย็น อาการเย็นมันเย็นถึงที่แล้ว ใจไม่สบาย อะไรหนออย่างนี้ ไม่สบาย พอดีในขณะที่มันเย็นๆอยู่นั่นแหละ ความร้อนมันเกิดขึ้นด้านหน้า หน้าอกก็ดี ท้องก็ดี ความร้อนนี้จะไปเผาความเย็นมันหายไป

       เวลาเรานั่งกัมมัฏฐานก็เหมือนกัน เรานั่งกัมมัฏฐานนี้มันร้อนขึ้นมาบนที่นั่งของเรา ร้อนเหมือนกับใจจะขาด บางทีเราร้อนๆอยู่นั้นมันเย็นขึ้นมาผิดปกติ เหมือนกับเรานั่งอยู่บนน้ำแข็ง ลักษณะอย่างนี้ก็ส่วนมากผู้ปฏิบัติสมาธิดี ปัญญาแก่กล้า สภาวะอย่างนี้เกิดชัดเจนมาก แต่บางทีท่านทั้งหลาย เวลามันเกิดขึ้นมา เวลามันร้อนขึ้นมา ร่างกายเรามันร้อนขึ้นมาเหมือนกันกับโยมแม่ของหลวงพ่อ ตอนมาปฏิบัติ เวลามันร้อนขึ้นมาวิ่งไปหาน้ำจะไปอาบน้ำ กำลังๆ จะอาบน้ำอยู่นั้นมันเย็นขึ้นมา วิ่งเข้าไปหาผ้าห่ม หาผ้านวมเอามาคลุม กำลังคลุมไปนิดเดียวเท่านั้นแหละเกิดร้อนขึ้นมาวิ่งไปหาโอ่งน้ำอีก เหมือนกับคนเป็นบ้า แต่ยังไม่พอ ยังไม่ทำเนาท่านทั้งหลาย นอกจากมันเย็นมันร้อนแล้วยังไม่พอ กลับไปเจ็บท้องอีก บางทีทั้งร้อนทั้งเย็นทั้งเจ็บท้อง แต่ยังไม่พอ บางทีทั้งเย็นทั้งร้อนทั้งเจ็บท้องทั้งอาเจียนเหมือนจะตายไปในขณะนั้น อันนี้ก็ถือว่าเป็นสภาวะอย่างหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นจากการปฏิบัติ

       และสภาวะที่คล้ายคลึงกันนี้ก็มีมากท่านทั้งหลาย ที่หลวงพ่อไม่นำมาชี้แนะให้ฟัง อาการอื่นๆ ก็ยังมีอีกมากแต่ท่านทั้งหลายเมื่อมันเกิดขึ้นมาเราเทียบเคียง เปรียบเทียบกันว่า มันเป็นลักษณะของสภาวะไหน เกิดขึ้นมาเพราะอะไร สภาวะอย่างนี้ส่วนมากเกิดไม่นาน บางทีก็ผ่านไปในชั่วโมงนั้นเลย ไม่เหมือนสภาวะอย่างอื่น เช่น อาทีนวญาณก็ดี นิพพิทาญาณก็ดี มันอยู่นาน อยู่นานที่สุดก็คืออุทยัพพยญาณ บางทีมีลักษณะอย่างนี้อยู่ตั้ง ๗ วัน บางทีตั้ง ๑๕ วันจึงจะผ่านได้ แต่เมื่อมันผ่านอุทยัพพยญาณไปแล้ว ภังคญาณหรืออาทีนวญาณก็ผ่านไปได้เร็ว

       เท่าที่หลวงพ่อได้ชี้แนะสภาวะของปฏิสังขาญาณมาก็เห็นว่าพอสมควรแก่เวลา.