อาการดับที่คล้ายนิพพาน

อาการดับที่คล้ายนิพพาน

           ๑.     การดับด้วยอำนาจของปีติในญาณที่ ๓

           ๒.    การดับด้วยอำนาจของปัสสัทธิในญาณที่ ๓ และญาณที่ ๔ แต่ยังจำไม่ได้ในขณะเพลินตามอำนาจของปัสสัทธิมันดับสงบทั้งที่ตัวยังตรงอยู่ เกิดมีความสงสัยว่าได้บรรลุมรรคผล

           ๓.     การดับด้วยอำนาจของสมาธิขณะที่สมาธิของเราดีๆอยู่นี้แหละ มันจะดับวูบลงไปเลยก็เป็นได้

           ๔.     การดับด้วยอำนาจของอุเบกขา คือเรากำหนดเพลินไปๆ มันดับวูบลงไปก็ได้

           ๕.     การดับด้วยอำนาจของถีนมิทธะ เวลานั่งภาวนาไปในขณะที่จิตของเราถูกถีนมิทธะครอบงำเกิดความง่วง คือมันจะง่วงวูบลงไปๆ นี้เป็นอาการของจิตลงภวังค์ เมื่อจิตลงภวังค์ไปจนอิ่มตัวแล้วก็หายง่วง

           อาการดับนี้ถ้าสติสมบูรณ์จะชัดเจนดี ถ้าสติไม่สมบูรณ์จะเลือนๆ ลางๆ ยังสองจิตสองใจอยู่ สติไม่สมบูรณ์ดับกิเลสยังอุ่นๆ อยู่ แต่มีกำลังพอที่จะฆ่าโมหะได้ แต่ตัวเองก็สะบักสะบอมเหมือนกัน ต้องพักฟื้น อาการดับเกิดในญาณที่ ๓ สติใส ๑๕ % อาการดับเกิดในญาณที่ ๔ สติใส ๙๐ % แต่ไม่สามารถจำได้ว่าดับลงไปในขณะไหน

           การเดินจงกรมระยะที่ ๑ ได้สติ ๒ ครั้ง แต่เมื่อสอบอารมณ์รู้ว่าเข้าสู่ญาณที่ ๒ ก็ให้เดินจงกรมขึ้นระยะที่ ๒ ส่วนเวลานั่งเวลานอน การกำหนดพองหนอ ยุบหนอ ก็กำหนดเหมือนเดิม แต่ให้กำหนดต้นจิตเสียก่อน เพื่อให้ญาณที่ ๒ สมบูรณ์แบบ ให้กำหนดว่า “อยาก” คือจะยืน เดิน นั่ง นอน ดื่ม ทำ พูด คิด จะทำกิจอะไรก็ตาม ให้กำหนดต้นจิตคือกำหนดว่า “อยาก” นั่นเอง ถ้าญาณที่ ๓ เกิดขึ้นแล้ว ให้เดินจงกรมระยะที่ ๓ นั่งระยะที่ ๓ ถ้าญาณที่ ๔-๕ เกิดขึ้นแล้วให้เดินจงกรมระยะที่ ๔ นั่งระยะที่ ๔ ถ้าญาณที่ ๖-๗-๘ เกิดขึ้นแล้ว ให้เดินจงกรมระยะที่ ๕ นั่งระยะที่ ๕ ถ้าญาณที่ ๙ ๑๐-๑๑ เกิดขึ้นแล้ว ให้เดินจงกรมระยะที่ ๖ นั่งระยะที่ ๖

           สำหรับการเดินจงกรมปฏิบัติธรรมฤดูหนาว (ปริวาส) ๓ วันเปลี่ยนครั้งหนึ่ง

           สำหรับคนแก่ให้เดินจงกรมระยะที่ ๑-๔ ก็สมบูรณ์แบบดีแล้ว ไม่ต้องให้เดินถึงระยะที่ ๕-๖ ก็ได้

           ปฏิบัติธรรมฤดูหนาว ถ้าขึ้นมานัตแล้วให้ฝึกสมาธิ นั่ง ๑ ชั่วโมง ต้องบังคับให้นั่ง ๑ ชั่วโมงให้ได้ เพราะนั่ง ๓๐ นาทีไม่ค่อยได้สมาธิ

           การบรรยายธรรมแล้วแต่เห็นสมควรแก่ผู้ปฏิบัติ เช่น วันแรกเรื่องของหายาก ๔ ประการ หรือเรื่องปรับความเข้าใจกัน วันที่ ๒ เรื่องชีวิตเป็นของน้อยรีบทำความเพียรเถิด เป็นต้น สำหรับผู้มีความประสงค์จะแทรกศัพท์เข้าไปบ้างก็ได้ ชาวบ้านไม่รู้ศัพท์ เราก็ควรใช้ธรรมะสำหรับชาวบ้าน บรรยายธรรมะแบบชาวบ้าน

           ผู้ไม่รู้ธรรมจริงไปเทศน์ไปสอน เวลาสอนไปๆ เกิดวิปฏิสารกลัวคนอื่นจับผิด เวลาสอบอารมณ์กลัวเขาทักท้วงขึ้นมา

           เวลาหลวงพ่อจะเทศน์หลวงพ่อขอให้โยมอยู่ฟังเทศน์มากๆ จะทำให้มีกำลังใจเวลาที่เราเทศน์อยู่บนธรรมาสน์ ไม่มีอะไรต้องต่ำต้อยน้อยใจไม่มีใครมาแย่งเทศน์ได้ในขณะนั้นการเทศน์ควรดู กาลดูเวลาว่ามีมากไหม

           การทวนญาณต้องอาศัยสมาธิมาก (ขณิกสมาธิที่ติดต่อ) การอธิษฐานความเกิดดับ ถ้ายังนั่งไม่ถูกที่หรือสมาธิยังไม่พอ ก็ไม่เกิด

           เวลาอธิษฐาน ควรให้อธิษฐานหลังผ่านใหม่ๆ จึงจะดีเพราะสมาธิมีกำลังสูง