อานิสงส์ของการเจริญสมาธิ (๑)

อานิสงส์ของการเจริญสมาธิ (๑)

โดย พระราชปริยัตยากร (บุญเรือง สารโท)

———————

          ท่านนักปฏิบัติธรรมทั้งหลาย ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป หลวงพ่อใคร่ขอเตือนจิตสะกิดใจญาติโยมทั้งหลาย โดยเฉพาะญาติโยมที่เคยประพฤติวัตรปฏิบัติธรรมมา โดยเฉพาะผู้ที่เคยฝึกการทำสมาธิแต่ละปีๆ ที่ผ่านมาในหน้าพรรษา เราก็จะได้เพิ่มผลบุญบารมี ในช่วงหน้าแล้ง เราไม่มีโอกาสที่จะทำจิตทำใจให้สงบเป็นเวลานานได้ เรามีโอกาสที่จะเสวยความสุขที่เกิดจากการประพฤติปฏิบัตินั้นไม่ได้เท่าที่ควร

          ที่จริงสมาธินี้เขาใช้เพื่อเป็นการสร้างพลังจิตให้สูงขึ้น นี้ประการ ๑ ประการที่ ๒ เพื่อช่วยผ่อนคลายความเครียดซึ่งเกิดขึ้นจากสภาวะที่ไม่ดี เช่นว่า

          (กามฉันทะ) มีความพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ ที่ทำให้เกิดความชอบใจ เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ทำนอกรีตนอกรอย ผิดศีลธรรมอันดีงามของพระศาสนา

          พยาบาท มีความไม่พอใจในสิ่งแวดล้อม ไม่พอใจในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ ไม่พอใจเพื่อน ไม่พอใจในครอบครัว ไม่พอใจในวงศาคณาญาติ ไม่พอใจในเพื่อนบ้าน ไม่พอใจพระเจ้าพระสงฆ์ที่อยู่ในวัดในวา อะไรทำนองนี้ ความไม่พอใจทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ โอกาสที่เราจะทำให้มันน้อยลงไปก็หาได้ยาก

          นอกจากนี้ ความผูกพันอยู่กับบางสิ่งบางประการในการหลับการนอน หรือบางทีก็คิดมากจนเป็นโรคประสาทเข้าโรงพยาบาล บางทีก็เกิดความไม่เข้าใจในธรรมะที่เราประพฤติปฏิบัติมาอย่างนี้

          สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ วิธีจะผ่อนคลายลงไปได้ ประการที่ ๑ คือ เราทำจิตทำใจของเราให้ตั้งมั่นเป็นสมาธิ เป็นจิตที่หนักแน่นมั่นคง ในเรื่องของการสร้างสมอบรมคุณงามความดี เป็นต้นว่า ให้ทาน รักษาศีล ทำวัตร สวดมนต์ เจริญเมตตาภาวนา นี่เป็นโอกาสเวลาในการที่จะทำให้จิตใจหนักแน่นมั่นคง

          เมื่อเป็นเช่นนี้ ทุกปีที่ผ่านมาเราก็ทำตลอด แต่บางปีก็ฝึกได้มาก บางปีก็ฝึกได้น้อย แต่ปีนี้หลวงพ่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันเอื้ออำนวย ฝนก็ตกต้องตามฤดูกาล เหตุนั้น ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป หลวงพ่อคิดอยากให้ญาติโยมทั้งหลาย โดยเฉพาะผู้ที่เคยทำสมาธิมาแล้ว ก็อยากให้ฝึกไว้เป็นบรรทัดฐาน เป็นตัวอย่างที่ดีของสังคมเกี่ยวกับเรื่องอย่างนี้ เพราะว่าสมาธินี้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการดำเนินวิถีชีวิตของเรา

          ถ้าคนที่มีจิตหนักแน่นเป็นสมาธิอยู่ก็สบาย เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยมาก็จะเป็นที่พึ่งพาอาศัยได้ดี คนที่ไม่มีสมาธิหรือจิตใจมีสมาธิน้อย อะไรทำนองนี้ โรคภัยไข้เจ็บทั้งหลายทั้งปวงเกิดขึ้นมา เราก็จะกำจัดออกไปจากขันธสันดานของเรา ก็เป็นไปได้ยาก หรือไม่ได้เสียเลย แล้วก็สมาธินี้ ถ้าเราทำให้ดี ญาติโยมทั้งหลาย

          หลวงพ่อเคยบอกว่า เวลาเรานั่งสมาธิ อยู่ในสมาธินี้ ร่างกายของเราเป็นมนุษย์ แต่จิตใจของเราเป็นพรหมแล้ว ถ้าเป็นผู้ชายก็เป็นพรหมผู้ชาย ถ้าเป็นผู้หญิงก็เป็นพรหมผู้หญิง ถ้าหากว่าเราจุติหรือตายเพราะจิตดวงนี้ เราก็ไปบังเกิดในพรหมโลกตามกำลังของสมาธิ ตามกำลังของฌาน แล้วก็จะไม่ไปสู่อบายภูมิ

          เมื่อเราไปเกิดเป็นพรหมแล้ว ก็เสวยสุขในพรหมโลกนั้นๆ ตามอำนาจของฌานหรือบุญกุศลที่ได้สร้างสมอบรมไว้ หากว่าหมดบุญแล้ว ก็มาเกิดในภพใหม่ชาติใหม่ ก็จะไม่ไปเกิดในอบายภูมิ คือจะไม่ตกนรก ไม่เกิดเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นอันว่าจะไม่ไปสู่อบายภูมิ เพราะเหตุใด เพราะว่า กำลังของฌานนั้นจะรักษาไว้ ไม่ให้ตกไปสู่อบายภูมิ อย่างน้อยที่สุดก็ไปเกิดเป็นมนุษย์ ไปเกิดเป็นเทพบุตร เทพธิดา อันนี้เป็นกำลังของสมาธิ

          ถ้าหากว่าเราสามารถทำสมาธิได้ ท่านทั้งหลายอยู่ในโลกนี้ เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา ก็มีกำลังจิตกำลังใจต้านทานต่อโรคภัยไข้เจ็บทั้งหลายที่เกิดขึ้น ดั่งที่เราสังเกตเห็นชาวบ้านของเรานี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาก็ไม่สะทกสะท้าน ไม่หวั่นไหว สบายๆ บางทีจำเป็นที่จะต้องผ่าตัด การผ่าตัดก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา เหมือนกันกับเราฆ่ากบฆ่าเขียด เวลาถูกผ่าตัดก็เฉยๆ ไม่เหมือนเมื่อก่อน ไม่สะทกสะท้าน ไม่หวั่นไหวเพราะอาการจะผ่าตัดนั้น

          บางทีเวลาไปผ่าตัด ยาสำหรับช่วยในการผ่าตัด เป็นยาชาหรือยาสลบอย่างนี้ บางคนก็ไม่ใส่ซะเลย ไม่เหมือนเมื่อก่อน อย่างน้อยใส่ยาชา หรือบางครั้งหนักๆ ต้องใส่ยาสลบ แต่หลังจากที่ญาติโยมทั้งหลายประพฤติปฏิบัติธรรมะ สามารถทำสมาธิได้แล้ว บางครั้งไปโรงพยาบาลไม่ได้ใส่ยาสลบเลย ประสาทของเราก็ไม่สะทกสะท้านอะไร เราไปรับการผ่าตัด สบายๆ

          อันนี้เพราะอานิสงส์ที่ได้พากันทำสมาธิ บางทีไปคลอดบุตรอย่างนี้ เวลาไปคลอดบุตร เมื่อก่อนเราสะทกสะท้านหวั่นไหว ทั้งผู้เป็นสามีทั้งผู้เป็นภรรยา ทั้งญาติโยมทั้งหลาย ทั้งพี่ๆ น้องๆ ต้องไปรุมกันหวั่นใจ แต่สมัยทุกวันนี้สบาย หลังจากพากันประพฤติวัตรปฏิบัติมา เวลาจำเป็นที่จะต้องคลอดหรืออะไรก็สบายๆ บางทีญาติพี่น้องไปด้วยเพียงคนสองคน บางทีก็มีแต่สามี บางทีมีแต่น้องสาวหรือพี่สาวที่ไปเฝ้าดูแล ไม่เหมือนเมื่อก่อน

          ที่เป็นเช่นนี้ ก็เกิดจากการที่ญาติโยมทั้งหลายไปประพฤติปฏิบัติมา ทำจิตให้หนักแน่นเป็นสมาธิไม่หวั่นไหวต่ออุปสรรคใดๆ ที่เกิดขึ้น ญาติโยมทั้งหลายก็ได้รู้ความเป็นจริงของสังขารทั้งหลายทั้งปวง เกิดขึ้นมาแล้วก็ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย เมื่อรู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นกฎของธรรมชาติ เกิดขึ้นมาแล้วก็เป็นดังนี้ เมื่อเหตุใดๆ เกิดขึ้นจึงไม่สะทกสะท้าน ไม่หวั่นไหว เพราะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร เมื่อก่อนโน้น เวลาจะเจ็บไข้ได้ป่วย เวลาตายอะไรอย่างนี้ ถึงคราวตายก็พากันร้องห่มร้องไห้ระงมไปทั้งบ้าน บางทีเวลาล้มหายตายไป บางทีร้องไห้ ๓-๔ ครอบครัว ด้วยอำนาจของโสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส คิดถึงผู้ล้มหายตายไป พากันร้องห่มร้องไห้

          แต่ทุกวันนี้ เสียงร้องไห้เกือบจะหาไม่ได้แล้ว เวลาเจ็บไข้ เวลาล้มหายตายไป เพราะทุกคนต่างก็รู้กฎของความเป็นจริง ก็ทำจิตทำใจได้ เราจะเห็นสมัยหนึ่งที่แม่ชีแขกถึงแก่กรรมนั้น ในขณะที่แม่ชีแขกถึงแก่กรรมนั้น ลูกๆ ทั้งหลาย เด็กๆ ทั้งหลายที่เคารพนับถือเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับแม่ชีแขก พอดีได้ยินเสียงสัญญาณเตือน ลูกๆ ทั้งหลายก็พากันเฮโลมา พอเห็นศพที่ตั้งอยู่ เด็กๆ ทั้งหลายก็พากันจะร้องไห้

          วันนั้น หลวงพ่อตวาดเอาว่า ถ้าร้องไห้แล้วมันจะฟื้นขึ้นมาก็ร้องไห้กันไป แต่ถ้าร้องไห้แล้วมันไม่ฟื้นขึ้นมาก็อย่าร้องไห้ ถ้าการร้องไห้เป็นบุญก็ร้องไป ถ้าการร้องไห้มันไม่เป็นบุญ มีแต่เพิ่มความทุกข์ ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องร้อง กัมมัฏฐานที่หลวงพ่อแนะนำพร่ำสอนมาหลายปีนั้นยังใช้ไม่ได้หรือ เวลาจะถึงคราวนี้จะใช้ไม่ได้หรือ ถ้าว่ามันใช้ไม่ได้ หลังจากงานเสร็จแล้วไปทำใหม่ แต่สำหรับงานของแม่ชีแขกนี้ หลวงพ่อจะสอบอารมณ์ว่า บรรดาลูกๆ หลานๆ ญาติโยมทั้งหลายที่มาปฏิบัติพระกัมมัฏฐานนี้ ได้ภูมิจิตภูมิใจถึงขนาดไหน อย่างไร

          พอดีถึงเวลางาน ญาติพี่น้องทั้งหลายก็จะมาจากอยุธยา หลวงพ่อบอกความลับให้แก่บรรดาเจ้าหน้าที่ควบคุมเสียงว่า วันนี้มีเสียงธรณีกรรแสง มีเท่าไรก็ให้เปิด เปิดให้มันเย็นๆ มีขยายเสียง ๔ เครื่อง ๕ เครื่อง ก็เปิดเลย คนละมุมๆ เปิดเลย พอดีถึงเวลาเคลื่อนศพก็พากันเปิดเสียงธรณีกรรแสง

          เมื่อเปิดแล้ว หลวงพ่อก็จะสังเกตว่าจะมีคนร้องไห้ไหม ในงานศพนี้จะมีคนร้องไห้ไหม มีพระเณรร้องไห้ไหม มีลูกๆ หลานๆ ชาวบ้านร้องไห้ไหม ที่เคยเคารพนับถือกันมา หลังจากงานเสร็จปั๊บ หาคนหนึ่งที่จะร้องห่มร้องไห้ไม่มี แต่ญาติๆ ที่มาจากอยุธยาร้องไห้ปริ่มว่าจะขาดใจตาย เหมือนว่าจะตายไปด้วยกัน เขาคงคิดว่าชาวบ้านของเราไม่มีความเคารพ ไม่มีความรัก ไม่มีความนับถือ ปล่อยลูกๆ หลานๆ ไว้แล้วก็ตายไป ไม่มีใครร้องห่มร้องไห้

          นี่แหละญาติโยมทั้งหลาย ธรรมะนี้ถ้าเราประพฤติปฏิบัติแล้ว เราต้องใช้ให้เป็น มันได้ประโยชน์จากโลกนี้ไปแล้วก็มีประโยชน์ในโลกหน้า ในโลกนี้เราก็จะใช้ในการประกอบสัมมาอาชีวะในกิจวัตรประจำวัน ถ้าว่าจิตใจของเรามันหนักแน่นมั่นคง มีธรรมะอยู่ในจิตในใจของเราแล้ว ความโลภ โกรธ หลง ราคะ มานะ ทิฏฐิ ตัณหา อุปาทาน อวิชชา มันจะไม่ครอบงำจิตใจของเรา มันจะไม่เป็นนายเหนือหัวของเรา เราจะไม่เป็นทาสของมัน

          ส่วนมากผู้คนทั้งหลายต่างพากันวิตกนานัปการ เพราะว่าตกอยู่ในอำนาจของกิเลสตัณหา แต่เมื่อเราทำจิตทำใจให้หนักแน่นมั่นคงแล้ว เราไม่ตกอยู่ในอำนาจของสิ่งเหล่านี้ จิตใจของเราสบาย เมื่อจิตใจของเราสบาย ร่างกายของเราก็สบาย เมื่อกายวาจาใจของเราสบายแล้ว คนอื่นๆ ก็สบายไปด้วย สังคมของเราก็อยู่ร่มรื่น

          ญาติโยมทั้งหลายคิดดูว่า เมื่อก่อนโน้นถึงฤดูนี้ขึ้นมา ชาวบ้านของเราตายเป็นจำนวนพอสมควร บางปีก็ ๕ คน บางปีก็ ๑๐ คน หลังจากพวกเราทั้งหลายประพฤติวัตรปฏิบัติธรรม ได้ชี้แนะแนวทางให้ฟังว่า การที่จะมีอายุยืนนี้ เราต้องปฏิบัติอย่างนี้ๆ ต้องตั้งอยู่ในกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ เมื่อตั้งอยู่ในกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการแล้ว ก็จะมีอายุยืน ไม่ตายง่าย แล้วก็ได้ทำสมาธิ ได้แนะนำพร่ำเตือนกันมาตามลำดับๆ มาจนถึงทุกวันนี้ บางปีไม่มีคนตายเลย บางปีถ้าว่ามันจำเป็นที่จะต้องตาย ก็ไม่เกิน ๓ คน ๒ คน ๑ คน อะไรทำนองนี้

          บางปีหลวงพ่อก็ขอร้องไปเลยว่า ปีนี้ขอให้อยู่ด้วยกันทุกคนๆ ขอร้องอย่าให้ตายจากกัน ขอร้องเป็นพิเศษว่า อย่าตายจากกัน อยู่ด้วยกันเสียก่อน ถ้าจำเป็นจะต้องตายก็ พ.ศ. ใหม่ค่อยตาย แล้วก็อยู่ได้ทั้งปีไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้น

          พวกเราทั้งหลาย นี่ธรรมะมันได้ประโยชน์อย่างนี้ ญาติโยมทั้งหลาย ทุกปีที่ผ่านๆ มา โดยเฉพาะหน้าพรรษานี้หลวงพ่อจะขอไว้ทุกปีๆ อยู่ด้วยกันซะก่อนจึงค่อยตาย ออกพรรษาแล้วค่อยตาย ก็อยู่กันได้ แต่ปีนี้ญาติโยมทั้งหลายคงจะสงสัยว่า เอ๊ะ ปีนี้หลวงพ่อไม่ว่าอะไรเลย ก็หวั่นใจว่าเจ้าของหรือใครน้อ จะตาย หรือกูน้อ จะตาย เช่นว่า นอกจากคนอื่นแล้วก็กลัวว่าตัวเองจะตายด้วย

          สาเหตุที่ไม่ได้พูดอะไรในวันอาสาฬหบูชา เพราะว่าทางบ้านอีเติ่งเขาฉลองหอระฆัง ญาติโยมสร้างหอระฆัง เขาขอร้องให้ไปงานบ้านอีเติ่ง แล้วก็ประการที่ ๒ สำคัญที่ไม่พูดอะไร เพราะว่าปีนี้ ไหนๆ ก็จะต้องตาย มันเตรียมตัวว่าจะตายแล้ว ถ้าพูดไปแล้ว เดี๋ยวว่าวาจาหลวงพ่อไม่ศักดิ์สิทธิ์ อะไรทำนองนี้ ก็เลยเฉยๆ อยู่ ก็พอดี ไม่กี่วันก็ไป

          นี่แหละญาติโยมทั้งหลาย ธรรมะที่เราประพฤติปฏิบัติแล้ว มันได้ประโยชน์เหลือที่จะคณานับ ญาติโยมหลายๆ คนที่มาปฏิบัติพระกัมมัฏฐาน อยู่บ้านของเราก็มี อยู่ที่อื่นก็มี เวลาผ่าตัด บางครั้งก็ผ่าตัดไตนี่ ก็ไม่ใส่ยาชายาสลบเลย บางคนไปผ่าตัดไส้ติ่ง ไม่ใส่ยาสลบเลย กำหนดบทพระกัมมัฏฐานไปเรื่อยๆ ผลสุดท้ายก็ผ่าตัดสำเร็จไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันได้ประโยชน์อย่างนี้ท่านทั้งหลาย

          สรุปสั้นๆ ว่า สมาธิที่เราได้แล้วในขณะที่มีชีวิตอยู่ก็สบายๆ ญาติโยมทั้งหลายจะเห็นเวลาหลวงพ่อเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่ได้หักดอกไม้บูชาตัวเองหรอกนะ คือเวลาหลวงพ่อเจ็บ เอ้า เจ็บก็เจ็บไป โยมก็นวดไปๆ แต่อยู่เฉยๆ เหมือนไม่มีอะไร

          เวลาญาติโยมมาเยี่ยมยามเจ็บไข้ได้ป่วย หลวงพ่อจะคุยมากกว่าคนที่ป่วย หลวงพ่อจะพูดมากกว่าอย่างอื่น เพราะเหตุใด หลวงพ่อจะเฉลยว่ามันป่วยเฉพาะกาย แต่ใจมันไม่ป่วย เวลาเจ็บ เจ็บแต่ร่างกาย แต่ใจมันไม่เจ็บ เวลาทุกข์มันก็ทุกข์แต่ร่างกาย แต่ใจไม่เป็นทุกข์

          คนเรา เมื่อสังขารร่างกายส่วนอื่นมันเป็นทุกข์ แต่จิตใจไม่ทุกข์ มันก็อยู่สบาย มีอะไรเกิดขึ้น ก็เหมือนกับไม่มีอะไร บางทีมันช็อกไป ๔ ครั้ง ๕ ครั้ง ๖ ครั้ง ก็เฉยๆ ภูมิใจดีใจเสียด้วย หากว่าเรายังไม่ได้ตายซะก่อน เราจะได้รู้ว่า ก่อนจะตายมันจะเป็นอย่างไร

          นี่แหละญาติโยมทั้งหลาย เราทั้งหลายคิดอยู่เสมอว่า ถึงอย่างไรๆ เราแม้อยู่ได้ถึงร้อยปี ก็ต้องตายอยู่ แม้มีอายุถึงร้อยปีก็จะต้องตาย แต่ขอให้พวกเราทั้งหลายตายอย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ตายอยู่ในห้วงแห่งพระธรรม แม้จะตายเราจะไม่ละพระธรรม ไม่ละการประพฤติปฏิบัติ

          จะยึดเอาพระธรรมเป็นที่พึ่งตลอดไป เมื่อเราตายในลักษณะอย่างนี้แล้วจะไม่ไปสู่อบายภูมิ จะมีสุคติเป็นที่ไปในเบื้องหน้า อย่างน้อยก็ไปเกิดในเทวโลกหรือพรหมโลกตามกำลังของฌาน

          เพราะฉะนั้น ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ท่านทั้งหลายให้พากันเริ่มซะ วันนี้เดินจงกรมเสร็จแล้ว ตอนเย็นหลังจากทำวัตรแล้วก็อุ่นเครื่องซะ หลังจากทำวัตรหรือฟังเทศน์เสร็จแล้วก็อุ่นเครื่อง นั่งสมาธิสัก ๒ ชั่วโมง วันพระต่อไปก็ค่อยๆ เพิ่มไป วันพระละ ๓ ชั่วโมง วันพระละ ๖ ชั่วโมง วันพระละ ๑๒ ชั่วโมง

          ตามปกติทางวัดของเราจะ(มีผู้)ทำได้ถึง ๒๔ ชั่วโมง บางปีก็มีเวลามาก อาจจะถึง ๓๐ ชั่วโมง หาความสุขซึ่งเกิดจากธรรมะ ทำจิตใจให้สงบเป็นสมาธิ เป็นฌาน เป็นอนุสรณ์แก่บรรดาลูกๆ หลานๆ เขามาเห็นพ่อแม่พี่น้องทำอย่างนี้ได้ เขาก็จะได้ตั้งอกตั้งใจทำ คิดว่า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ขอให้เริ่มซะ แล้วก็ขอให้คณะแม่ชีสัก ๒-๓ คนมาอยู่ประคับประคองเป็นเพื่อน จะได้ภูมิอกภูมิใจ

          หลวงพ่อขอออกตัวว่า วันนี้หลวงพ่อก็ได้มาเทศน์ให้ท่านทั้งหลายตลอดถึงญาติโยมฟัง ได้มาเตือนจิตสะกิดใจในการประพฤติปฏิบัติธรรมะ หากว่าท่านทั้งหลายและญาติโยมเสียเวลาไป ก็ขออภัยด้วย

          เท่าที่ได้บรรยายมา ก็เห็นว่าพอสมควรแก่เวลา.